Contact

เก็บเรื่องราวเอามาแบ่งปัน คุยกันแบบกันเอง Contact me: thoshiro @live.com or thoshiro007 @gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อะไหล่ MTB สำหรับเสือทางเรียบ

กระโหลกแบบลูกปืนพวง มีบางคันที่ใช้กระโหลกแบบนี้ แล้วผมไม่ได้เปลี่ยนเป็นกระโหลกแบริ่ง
มีบางท่านสงสัยว่ามันเป็นรุ่นโบราณแล้วก็มีหลายท่านไปเปลี่ยนออก ใส่เป็นแบริ่ง
ผมขอเตือนว่า  ถ้าเป็นกระโหลกแบบนี้แล้วผมไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบริ่ง เพราะว่า..
สภาพของมันยังสมบูรณ์อยู่  และกระโหลกแบบนี้มีความลื่นไหลสูงกว่าแบบแบริ่ง
แม้กระทั้งแบริ่งเบอร์ XT ก็ตาม ก็ยังลื่นไหลสู้กระโหลกแบบนี้ไม่ได้
เพราะฉะนั่นคันไหนที่เป็นกระโหลกแบบนี้ท่านอย่าไปเปลี่ยนนะครับ
เพราะผมพิจารณาดูแล้วว่ามันดีกว่าแบริ่งครับ ยกเว้นว่ามันเสียผมถึงเปลี่ยนมาเป็นแบริ่ง


ยางkojak ที่ผมใส่ทดสอบอยู่เวลานี้   ความนิ่มแบบแน่นๆ ดึ๋งดั๋ง  ไม่โย้ เกาะหนึบ  นั่นถึอว่า
ดีมากครับ อย่าไปมองว่ายางไม่มีดอกไม่เกาะถนนครับ  ถ้าอากาศร้อน ขี่ไปสัก1ชม  จะหนืดนิดหน่อยครับ
     ส่วน KENDA 1.25 รุ่นเบานั้น ดีทุกอย่างยกเว้นเติมลมอ่อนเมื่อไหร่โดนเศษแก้วบาดยางรั่วง่าย
kojak ตั้งใจทับเศษขวดแตกยังเฉยครับ
   แต่สำหรับยาง1.25 เวลานี้ใช้ maxxis  columbiare ครับ ทดสอบผ่านทั้งทน ทั้งเร็ว
แต่แรงดันลมต้องไม่ต่ำกว่า90 psi ในกรณีใช้สูบเบโต้ BETO  ครับ  ถ้า70psi เจอเศษแก้ว
ก็เตรียมปะยางได้เลยครับ เพราะโครงสร้างยางเหมือนยางเสือหมอบ ถ้ายางแข็งโดนเศษแก้ว
จะสลัดออก

ถ้าพื้นฐานเสือภูเขาดี รอบดี ลักษณะรถแบบนี้ จาน42 เหมาะสมกว่าครับ

จาน42อัตราทดสุดท่าย 3.81
จาน48 อัตราทดสุดท้าย 3.69
จะใส่จานเล๊กใหญ่ ต้องดูที่พื้นฐานของคนขี่ครับ
ไม่ใช่ว่าจะใส่ จานเล็กจานใหญ่ตามใจเราครับ

รถที่ใช้ลงแข่งขันรายการจ้าวทางเรียบจอมบึง
คันที่ทำเวลา ดีที่ สุด 40 กม เวลา 1.03 ชมครับ
ใช้จาน 42 เช่นกันครับ



GROUP set9 SP

เฟืองหลังใช้เฟือง DEORE 9 ชั้น 11-34 สวมบนดุม ACERA ปี2010
ชุดล้อมีความลื่นไหล พุ่ง กว่า ชุดล้อ XT
ตีนผี ALIVIO ปี 2011 การทำงานเหมาะสมพอดีไม่ไวจนเกินไป แม่นยำดีมาก
มือเกียร์ ALIVIO ปี2011  คุณภาพเมื่อเทียบกับ group set tiagra ไม่ต่างกัน
ดุมหน้าคันนี้ ใช้ EXAGE ใหม่แต่ปี1993 ครับ  

วิเคราะห์ Frame CrMo MTB ถึงปัจจัยต่างๆในการเซ็ทรถ

Darkar770 กว่าจะเป็นแบบนี้ ประกอบเสร็จแล้วตะเกียบไม่ได้
ทั้งท่าขี่ องศาและ ความพุ่ง ได้แต่ไหลลูกเดียว คอรถองศาเอียงเท ไหลเกินพอแล้ว
ก็เลยจัดการกับตะเกียบอีกหนึ่งอัน แล้วของเดิมแบบสวม อันใหม่แบบเกลียว
ต้องถอดเปลี่ยนถ้วยคอออกอีก เซทใหม่ หมดเวลาไปแล้วครึ่งวันครับ
ทั้งทีงานประกอบเสร็จไปแล้ว

ก่อนประกอบอะไหล่เป็นแบบนี้ครับ


http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=283277

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

RIP Steve Jobs

วันนี้ ๖ ตค ๕๔ ทางแอปเปิ้ลประกาศข่าวการเสียชีวิตของ Steve Jobs บุคคลผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ผม

ขอไว้อาลัย และบันทึกสิ่งดีๆที่เขาเคยกล่าวไว้


สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของสตีฟ จ็อปส์ ผู้ก่อตั้ง apple ผู้สร้าง Macintoch เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2548 ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยd เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้

ส่วนที่ 1

ส่วนที่ 2

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆ ทั้งหลาย ในวันจบการศึกษา จากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา – ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชีวิตจริงของผมให้น้องๆ ฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่อง
เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมต่อเรื่องราวต่างๆ
ผมตัดสินใจหยุดเรียนชั่วคราวหลังจากเข้าเรียนที่ Reed College ได้ประมาณ 6 เดือน แต่ก็ยังไปเรียนอยู่ประมาณ 18 เดือนก่อนที่จะลาออกจริงๆ ทำไมผมถึงเลือกที่จะหยุดเรียนชั่วคราวหล่ะ?
เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ผมเพิ่งลืมตามาดูโลกนี้ แม่บังเกิดเกล้าของผมขณะนั้นอายุยังน้อย ยังไม่ได้แต่งงาน และยังเรียนหนังสือระดับอุดมศึกษาอยู่ ท่านก็ตัดสินใจที่จะพาผมไปฝากเลี้ยงไว้สักที่หนึ่ง ท่านมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าต้องหาคนที่เรียนจบอุดมศึกษามาเลี้ยงดูผม ท่านจึงทำทุกอย่างให้ผมได้อยู่กับทนายความท่านหนึ่งกับภรรยาของเขาตั้งแต่ผม เกิด แต่ปรากฏว่าท่านทั้งสองต้องการลูกสาวมากกว่า จึงต้องเปลี่ยนไปเลือกครอบครัวอื่นที่อยู่ในรายชื่อ กลางดึกคืนนั้นแม่ของผมโทรไปหาและถามว่า “เรามีเด็กชายแรกเกิด คุณต้องการเลี้ยงเขาไหม?” ปลายทางตอบตกลง แต่แม่บังเกิดเกล้ามาพบทีหลังว่าแม่ใหม่ของผมไม่ได้จบระดับอุดมศึกษา แถมพ่อใหม่ของผมก็ไม่ได้จบมัธยมด้วยซ้ำ ท่านจึงไม่ยอมลงนามในเอกสารส่งตัวผม จนหลายเดือนต่อมาท่านจึงยอมเมื่อพ่อและแม่ใหม่ของผมสัญญาว่าจะส่งเสียให้ผม ได้เรียนจนถึงระดับอุดมศึกษา
17 ปีผ่านไป ผมได้เข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาจริงๆ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม ผมเลือกที่จะเรียนในที่ที่ค่าเล่าเรียนแพงพอๆ กับ Stanford เงินเก็บของผู้ปกครองของผมที่สะสมมาต้องนำมาจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน เมื่อผ่านไป 6 เดือน ผมไม่เห็นว่ามันจะได้อะไร ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมต้องการอะไรในชีวิต ไม่รู้เลยว่าสถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้จะช่วยให้ผมรู้อะไรมากขึ้น และผมก็กำลังใช้เงินที่ผู้ปกครองของผมเก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิตของท่าน ผมจึงตัดสินใจที่จะหยุดเรียนชั่วคราว และเชื่อมั่นว่านั่นเป็นการดี ผมรู้สึกกลัวเหมือนกันขณะนั้น แต่เมื่อมองถอยกลับไป นั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม เมื่อผมเลือกที่จะหยุดเรียนจากหลักสูตรปกติ ผมสามารถเลือกที่จะไม่เรียนวิชาที่ผมไม่สนใจ แล้วเริ่มเสาะหาที่เรียนเฉพาะวิชาที่ผมสนใจเท่านั้นพอ
มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ผมไม่มีแม้หอพัก ผมต้องนอนที่พื้นห้องของเพื่อน ผมต้องหาขวดน้ำอัดลมเปล่าไปแลกเงิน 5 เซนต์เพื่อซื้ออาหาร ทุกคืนวันอาทิตย์ผมต้องเดินข้ามเมืองเป็นระยะทางกว่า 7 ไมล์เพื่อไปรับประทานอาหารดีๆ ที่โบถส์ Hare Krishna ผมชอบมาก และเมื่อผมได้เดินตามความอยากรู้อยากเห็นและความคิดชอบแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่สูงค่ายิ่งนักในเวลาต่อมา ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่อง
ที่ Reed College ขณะนั้นมีหลักสูตรการออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ที่ดีที่สุดในประเทศ ตัวหนังสือที่พบเห็นได้อยู่ทั่วไปในที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ หรือป้ายหน้าลิ้นชัก จะเป็นตัวหนังสือสวยๆ ที่ประดิบประดอยด้วมมือ และขณะนั้นผมยังพักการเรียนอยู่ ผมไม่ต้องเข้าเรียนตามปกติ ผมจึงเลือกที่จะไปเรียนเรื่องการออกแบบตัวอักษร ผมต้องเรียนตัวอักษรทั้งแบบเซอรี (serif) และ ซอง เซอรี (san serif) การเลื่อนไหลของแบบตัวหนังสือ และการทำให้ตัวอักษรนั้นดูดีที่สุด มันสวยงาม มันน่าประทับใจ มันเป็นศิลปะในแบบที่อธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และผมตกหลุมรักมันเข้าแล้ว
นี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผมไฝ่ฝันว่าจะนำมาใช้ในชีวิตผม แต่สิบปีให้หลัง เมื่อครั้งที่ผมและทีมงานกำลังออกแบบเครื่อง Macintosh เครื่องแรกอยู่นั้น มันก็ผุดขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง ผมและทีมงานจึงบรรจุมันไว้ในเครื่อง Mac ด้วย มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ใช้ตัวหนังสือที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้เลือกเรียนวิชานั้น เครื่อง Mac ก็จะไม่มีตัวหนังสือหลายๆ รูปแบบ แถมยังมีช่องไฟที่เปลี่ยนไปตามแบบตัวอักษร (proportionally spaced fonts) ขณะที่ Windows เองก็ทำได้เพียงเลียนแบบ Mac ก็จะไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนมีแบบนี้เลย และถ้าผมไม่ได้พักการเรียนชั่วคราว ผมก็คงจะไม่ได้เข้าเรียนวิชานั้น และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลบนโลกนี้ก็จะไม่มีตัวหนังสือสวยๆ ให้ใช้ แน่นอนว่ามันไม่อาจจะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้เลย ถ้าผมยังเรียนหนังสือแบบเดิม มันชัดเจนมากเมื่อมองย้อนกลับไปสัก 10 ปี
และเช่นกันคุณจะไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวไปในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าได้เลย คุณทำได้แค่เพียงมองย้อยกลับไปในอดีต ดังนั้นคุณต้องเชื่อมั่นว่าเรื่องราวมันจะเชื่อมโยงไปถึงอนาคต คุณต้องเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกึ๋นของคุณเอง พรหมลิขิต หรือแม้แต่กรรมของคุณ แนวคิดนี้ไม่เคยทำให้ผมท้อถอย มีแต่จะทำให้สิ่งต่างๆ มากมายเกิดขึ้นในชีวิตของผม
เรื่องที่สองเรื่องของความรักและการสูญเสีย
ผมโชคดีครับ ผมได้พบสิ่งที่ผมรักที่จะทำแต่เนิ่นๆ Woz (Steve Wozniak – ผู้แปล) และผมก่อตั้ง Apple ขึ้นในโรงรถที่บ้านของผม เมื่อครั้งผมอายุประมาณ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายในเวลา 10 ปี Apple เติบโตขึ้นจากเราแค่ 2 คนในโรงรถ เป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึง 2 พันล้านเหรียญ กับพนักงานถึง 4000 คน เราได้เปิดตัวนวัตกรรมที่ดีที่สุด นั่นคือ Macintosh ก่อนที่ผมจะอายุเต็ม 30 ด้วยซ้ำ จากนั้นผมก็ถูกกดดันให้ลาออก ผมจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ผมสร้างขึ้นมาได้อย่างไร? ครั้งนั้น Apple เติบโตขึ้น เราต้องจ้างใครบางคนที่โดดเด่นพอมาบริหารบริษัทคู่กับผม ในช่วงปีแรก ทุกอย่างไปได้สวย แต่วิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มขัดแย้งกัน และเราก็เริ่มตกต่ำ เมื่อเราเริ่มเดินหน้า คณะผู้บริหาร (Board of Directors) เห็นด้วยกับเขา ผมจึงต้องจากไป เมื่อผมอายุแค่ 30 เท่านั้น ต้องจากไปจากสังคมนี้ สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำสำหรับชีวิตวัยทำงานของผมหายไปหมด มันแย่สุดๆ เลย
ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อในช่วงสองสามเดือนแรก ผมรู้สึกว่าผมได้ทำให้นักธุรกิจรุ่นก่อนหน้าผมผิดหวังว่าเมื่อเขาอุตสาห์ส่ง ไม้ต่อให้แล้ว ผมดันทำมันหลุดมือไป ผมได้พบกับ David Packard และ Bob Noyce และพยายามขอโทษในสิ่งที่ผมทำพลาดไป ผมทำให้อะไรๆ มันแย่ไปหมด แต่ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มทำให้ผมมีความหวัง ผมยังรักในสิ่งที่ผมได้ทำไป มันเป็นโอกาสที่ Apple ไม่เคยจะเหลียวมอง ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมยังรักมันอยู่ ผมจึงคิดที่จะเริ่มมันใหม่อีกครั้ง
ผมยังไม่เข้าใจอะไร แต่เหมือนกับว่าการที่ผมต้องออกจาก Apple นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม ความรู้สึกหนักใจที่จะต้องประสบความสำเร็จกลับกลายเป็นความสบายใจที่จะเป็น ผู้เริ่มต้นทำอะไรใหม่อีกครั้ง ไม่มั่นใจอะไรมากเกินไป มันทำให้ผมเข้าสู่ช่วงที่ผมได้สร้างสรรสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต
ในช่วง 5 ปีต่อมา ผมเริ่มก่อตั้งบริษัท NeXT และ Pixar แถมยังได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งที่ในที่สุดก็ได้อยู่กินด้วยกัน Pixar ได้สร้าง Toy Story ภาพยนต์เรื่องแรกที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ และเป็นบริษัทในวงการที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก และในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ Apple ก็ซื้อกิจการ NeXT ผมก็กลับมาทำงานที่ Apple โดยมีเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นที่ NeXT เป็นหัวใจสำคัญของ Apple ยุคใหม่ ส่วน Laurene และผมก็มีชีวิตครอบครัวที่วิเศษมาก
ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าผมไม่ได้ออกจาก Apple ขณะนั้น เรื่องราวเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนยาขม แต่ผมว่าคนไข้ก็ต้องการมัน บางครั้งคุณก็ถูกเขกหัวด้วยก้อนอิฐอย่างจัง อย่าเพิ่งหมดศรัทธา ผมอยากบอกว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังเดินหน้าต่อไปก็คือผมรักในสิ่งที่ทำ คุณต้องค้นหาสิ่งที่คุณรักให้พบ มันสำคัญอย่างมากถ้างานของคุณเป็นไปเพื่อคนที่คุณรัก งานของคุณต้องเข้าไปเป็นส่วนสำคัญส่วนใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งของชีวิต และทางเดียวที่จะสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ได้คือรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังหาไม่เจอ จงหาต่อไป อย่าหยุดยั้ง ด้วยแรงใจทั้งหมด คุณจะรู้เองเมื่อพบมัน มันเหมือนเรารู้จักใครสักคน มันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป ดังนั้นคุณต้องหาจนกว่าจะพบ อย่าหยุดยั้ง
เรื่องที่สามเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตาย
เมื่อผมอายุราว 17 ผมได้อ่านประโยคเด็ดในทำนองว่า ถ้าคุณใช้ชีวิตราวกับว่าแต่ละวันนั้นเป็นวันสุดท้ายของชีวิต วันหนึ่งคุณจะสมหวัง ผมประทับใจมาตลอด 33 ปี ทุกเช้าผมจะมองกระจกและถามตัวองว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ผมอยากทำอะไร และวันนี้ผมจะทำอะไร? และเมื่อใดที่คำตอบกลับมาว่า ไม่อยากทำอะไร หลายๆ วันเข้า คุณต้องรู้แล้วว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตแล้ว
การใช้มรณานุสติเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผมตัดสินใจเรื่อง ใหญ่ของชีวิต เพราะสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากผู้คนทั้งหลาย เกียรติยศชื่อเสียงทั้งปวง ความกลัวที่จะเสียหน้าหรือกลัวที่จะล้มเหลว มันก็จะหายไปเมื่อเราตาย เหลือไว้เพียงเรื่องที่สำคัญจริงๆ มรณานุสตินี่เองที่จะช่วยให้คุณหลบหลีกกับดักทางความคิดที่ว่าคุณไม่อยากจะ สูญเสียอะไร จริงแล้วคุณไม่มีอะไรติดตัวเลย จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ทำอะไรตามที่ใจคุณต้องการ
เมื่อปีที่แล้วผมตรวจสุขภาพพบว่าเป็นมะเร็ง ผมเข้ารับการตรวจประมาณ 7 โมงครึ่ง และผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าตับอ่อนคืออะไร คุณหมอบอกกับผมว่ามะเร็งชนิดนี้รักษาไม่หาย และผมจะอยู่ได้ไม่เกินสามถึงหกเดือน คุณหมอแนะนำว่าให้กลับบ้านแล้วสะสางเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อย เหมือนเป็นสัญญาณให้ผมเตรียมตัวตาย มันดูเหมือนจะให้ผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมคิดไว้สำหรับ 10 ปีจากนี้ไปให้เด็กๆ ฟังให้หมดภายในสองสามเดือน มันเหมือนว่าให้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับครอบครัวของคุณ มันเหมือนให้เตรียมที่จะลาจากไป
ผมครุ่นคิดแต่เรื่องผลการตรวจตลอดทั้งวัน ในช่วงเย็นวันนั้น ผมต้องตัดชึ้นเนื้อไปตรวจ โดยการสอดกล้องเข้าทางปาก ผ่านคอไปยังกระเพาะและลำไส้ จากนั้นก็ใช้เข็มเจาะเข้าที่ตับอ่อนเพื่อเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อจากเนื้อร้าย นั้น ผมรู้สึกสงบนิ่ง แต่ภรรยาของผมที่อยู่ด้วยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคุณหมอส่องกล้องตรวจดู เนื้อเยื่อนั้นแล้วก็เริ่มวิตกกังวล เพราะมันเป็นมะเร็งตับอ่อนที่ไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในที่สุดผมก็เข้ารับการผ่าตัด และตอนนี้ผมก็สบายดี
มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเข้าใกล้ความตายที่สุด และผมก็หวังว่าจะไม่ใกล้ไปกว่านี้อีกสำหรับอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า เมื่อผ่านช่วงนั้นมาได้ ผมก็นำมาเล่าให้คุณฟังได้เต็มปาก มันไม่เพียงเป็นประโยชน์ มันเป็นเรื่องของหลักคิดดีๆ อีกด้วยว่า
ไม่มีใครอยากตาย แม้กระทั่งคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายเพื่อจะไปที่นั่น อย่างไรก็ดี ความตายเป็นจุดหมายปลายทางที่เรามีร่วมกัน ไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เพราะความตายนั้นเรียกได้ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่วิเศษสุดของชีวิต มันเป็นเหมือนเครื่องมือเปลี่ยนชีวิต มันสะสางคนรุ่นเก่าเพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ ขณะนี้พวกคุณนั่นเองคือคนรุ่นใหม่ แต่วันหนึ่งไม่นานจากนี้ไป คุณก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนรุ่นเก่าที่จะต้องถูกสะสาง ขออภัยถ้ามันดูเหมือนหนังชีวิตไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
คุณมีเวลาจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาไปกับการใช้ชีวิตแบบคนอื่น อย่าตกหลุมลัทธิความเชื่อที่ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างที่ผู้คนเขาคิดกันว่าควรจะ เป็น อย่าปล่อยให้ความคิดของคนอื่นเข้ามารบกวนเสียงจากใจของคุณ (inner voice) และที่สำคัญที่สุด คุณต้องมีความกล้าที่จะทำตามหัวใจและการหยั่งรู้ (intuition) ของคุณ ที่จะช่วยให้คุณบรรลุสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นจริงๆ แล้วก็ปล่อยให้เรื่องอื่นๆ นั้นเป็นเรื่องรองไป
เมื่อครั้งที่ผมยังเด็กอยู่ มันหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อ The Whole Earth Catalog มันวิเศษมาก มันเป็นเหมือนคัมภีร์สำหรับคนรุ่นผมเลยก็ว่าได้ เขียนโดย Stewart Brand ผู้อยู่แถวๆ Menlo Park นี่เอง เขาสร้างมันขึ้นอย่างมีศิลปะ เวลานั้นราวๆ ช่วงปลายของทศวรรษ 1960 ก่อนจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และระบบการพิมพ์ตั้งโต๊ะ (desktop publishing) เขาใช้การพิมพ์ด้วยพิมพ์ดีดธรรมดา กรรไกร และกล้องโพราลอยด์ มันดูเหมือน Google ในแบบที่เป็นหน้ากระดาษ หลังจากนั้น 35 ปี Google ก็เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนอุดมคติ สร้างขึ้นด้วยเครื่องมืออันปราณีตและความคิดอันยิ่งใหญ่
Stewart และทีมงานผลิต The Whole Earth Catalog อยู่หลายฉบับ และเมื่อครบถ้วนแล้ว พวกเขาก็ออกฉบับสุดท้าย เวลานั้นก็ราวๆ ช่วงกลางทศวรรษ 1970 แล้ว ที่ปกหลังของฉบับสุดท้ายมีรูปถ่ายของถนนในชนบทตอนรุ่งเช้า แบบที่คุณคงเคยโบกรถไปเที่ยว ถ้าคุณชอบผจญภัย ใต้รูปนั้นมีคำพูดว่า จงใฝ่รู้อยู่เสมอ จงทำตัวโง่อยู่เสมอ (Stay Hungry. Stay Foolish.) มันเป็นคำบอกลาของพวกเขา และผมก็หวังที่จะเป็นอย่างนั้น และขณะนี้พวกคุณเพิ่งสำเร็จการศึกษา กำลังเป็นคนรุ่นใหม่ ผมก็หวังว่าคุณจะเป็นเช่นกัน
จงใฝ่รู้อยู่เสมอ จงทำตัวโง่อยู่เสมอ

เครดิต http://www.9digits.com/index.php?option=com_content&task=view&id=86

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ระบบเกียร์ Shimano สำหรับ MTB

เรียงตามการใช้งานแต่ละประเภท ถูกไปแพง

เสือหมอบ road bike
Sora > Tiagra > 105 > Ultegra > Ultegra SL > DuraAce > DuraAce 7900

เสือภูเขาครอสคันทรี่ cross country
Deore > SLX > XT > XTR

ปั่นท่องเที่ยว trekking or touring
SIS > tourney > altus > alivio > LX

เสือในเมือง ไฮบริด city-comfort bike
Capreo > Nexave > Nexus > Cyber-Nexus > Alfine
บีเอ็มเอ็กซ์ BMX
DXR
เสือภูเขาออลเมาเท่น-ดิ่งโลก all mountain - downhill
Hone > Saint

เรียงตามราคาและคุณภาพครับ

1. Shimano Tourney (SIS)
เป็น เกียร์ที่ถูกที่สุด มีผลิดอยู่ไม่กี่ชิ้น คือมือเกียร์ เฟืองหลัง โซ่ สับจานหน้า ตีนผี มีผลิตตั้งแต่ 5 , 6 และ 7 เกียร์ (15,18,21 speed)

2. Shimano Altus
มีแค่ 7 เกียร์เท่านั้น (21 speed) ถือว่าเป็นเกียร์ในระดับต้นของจักรยานเสือภูเขาเลยทีเดียว และผลิตครบทั้ง 10 ชิ้น

3. Shimano Acera
เป็นเกียร์ระดับต้น ที่สูงกว่า Altus มีเกียร์สูงสุด 8 เกียร์ (24 speed)  ไม่เน้นใช้งานหนัก
เหมาะกับการขี่เสือภูเขาแบบท่องเที่ยว

4. Shimano Alivio
เป็น เกียร์ระดับต้นที่สูงกว่า Acera มีเกียร์สูงสุด 8 เกียร์  ใช้งานหนักได้ดีพอควร (ใหม่ๆ)
เหมาะกับการขี่เสือภูเขาแบบท่องเที่ยวตามป่าเขา

5. Shimano Deore
เป็นเกียร์ระดับ กลาง หรือ 9 เกียร์ระดับต้น ใช้งานได้ดีในทุกพื้นที่ และใช้เข้าแข่งขันได้ จานหน้าของ Deore จะเป็นหมุดดันโซ่ ซึ่งดีกว่าที่ใช้ปั้มขึ้นรูปที่สึกหรอได้ง่าย

6. Shimano SLX
เป็น เกียร์ระดับสูงที่ใช้กับการแข่งขัน หรือขี่ในสภาพลุยๆ ใช้งานหนักปานกลาง มี 9 เกียร์ ชิ้นส่วนของเกียร์เน้นที่ความแข็งแรง ความนุ่มนวลในการเข้าเกียร์ น้ำหนักที่เบาลง วัสดุที่ใช้ทำเกียร์ LX จะแข็งแรงขึ้น แต่น้ำหนักลดลง

7. Shimano Deore XT
เป็นเกียร์ระดับ แข่งขัน ที่พัฒนามาเพื่อการแข่งขันที่ใช้งานหนัก ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น คงทนมากขึ้น และนำหนักจะเบาขึ้น การขึ้นรูปวัสดุจะมีความละเอียดมากขึ้น สามารถเข้าเกียร์ได้นุ่มนวลและเร็วมาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการจักรยานที่ใช้ลุยแบบหนักๆ

8. Shimano XTR
ชุด เกียร์ระดับ Top สุดซึ่งทำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเกียร์ และน้ำหนักที่เบาลง โดย XTR นี้จะ Design ขึ้นมาเป็นพิเศษ สำหรับการแข่งขัน เพราะมีการขึ้นรูปที่ละเอียดมาก วัสดุที่ใช้ก็เป็นเกรดที่แข็งแรงมาก

ที่มา http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=59&t=93760 (ผมแก้ไขให้อัพเดท)


หัวข้อ: ขอความรู้หน่อยคับ    http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?p=2078209#p2078209]

["ณ.หนุ่ม@บางบัวทอง"]
อยากจะบอกเจ้า STX เนี่ย ถ้าถอยหลังไปสมัยก่อน มันเทียบเท่ากับ Deore ในปัจจุบันเลยนะครับ  เพราะว่าสมัยก่อนนั้นอะไหล่ของ Shimano ในเกรดมาตรฐาน จะแบ่งเป็นรุ่นดังนี้ครับ

Deore, Deore LX, Deore DX, Deore XT และภายหลังมาเพิ่ม XTR ซึ่งไม่ใช่ Deore Series ครับ
และหลังจากนั้นมาก็เปลี่ยนเป็น Altus, STX, Deore LX, Deore XT และ XTR
และก็มาเป็น Altus, STX, STX RC (IG System), Deore LX, Deore XT, XTR
และก็มาเป็น Altus, Deore, Deore LX, Deore SLX, Deore XT, XTR

ซึ่งเมื่อมามองแล้ว ก็ต้องบอกว่าต้องดูด้วยว่าเป็น STX รุ่นไหนครับ ถ้ารุ่นแรก ก็ถือว่าไม่ขี่เหร่อะไรครับ แต่ถ้ารุ่นสองก็จะเป็นรอง RC อยู่นิดหน่อย แต่การใช้งานไม่แตกต่างครับ
ผมเองก็ใช้ดุม STX RC ในรถ Challenger ครับ ซึ่งใช้งานได้ดีทีเดียวครับ

อ้า...พอดีพึ่งจะเห็นว่าเป็นรถปี 98 ถ้าอย่างนั้นจะเป็นรอง STX RC อยู่เล็กน้อยครับ แต่ความนิ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์แทบไม่รู้สึกครับ  และที่สำคัญ STX RC ไม่ได้เริ่มต้นในปี 1999 นะครับ  มีก่อนหน้านั้นแล้วครับ แต่ผมคิดว่าปี 95 ครับ เพราะว่ารถ Challenger ผมประกอบเมื่อช่วงปี 95-96 ผมก็ใช้ STX RC แล้วครับ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กล่อง ECU .ใครบอกว่าซ่อมไม่ได้?

อี ซียู (ECU=) หรือที่ช่างเครื่องยนต์ส่วนใหญ่เรียกสมองกล หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ควบคุมระบบ กลไกต่าง ๆ ในรถยนต์ ซึ่งปกติเจ้าของรถมักไม่ค่อยได้ยินช่างพูดถึง แต่หากวันไหน พี่ช่างเอ่ยชื่ออุปกรณ์นี้ ก็เข้าใจเถอะว่า รายจ่ายก้อนใหญ่เพื่อการเปลี่ยนชิ้นส่วน แบมือรอแล้ว
   
ช่างส่วนใหญ่ โดยเฉพาะจากศูนย์บริการจะบอกตรงกันว่าซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนสถานเดียว ราคาประเมินอาจถึงสองหมื่นและไม่มีทางเลือกอื่น แต่อู่ซ่อมรถ และศูนย์บริการบางรายทราบดีว่า ในซอยจินดาถวิล ถนนสี่พระยา เขตบางรัก มีร้านซ่อมระบบไฟฟ้ารถยนต์ที่สามารถแก้ไข ซ่อมสมองกล ที่คนทั่วไปเชื่อว่าต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่เท่านั้น
   
อรุณ วิทยานุพงษ์ คือช่างไฟไฮเทคที่ว่า เขาเริ่มต้นชีวิตที่ก้าวสู่วงการอีซียูว่า ราว 30 ปีที่แล้ว ร่วมงานกับเพื่อนในกิจการซื้อเครื่องยนต์มือสองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งขณะนั้น เริ่มใช้เครื่องยนต์ที่มีสมองกลบ้างแล้ว แต่เมืองไทยส่วนใหญ่ใช้กันในหมู่รถแข่ง อรุณ มองเห็นทิศทางอนาคตว่า รถยนต์ที่เข้ามาเมืองไทยต้องใช้อุปกรณ์นี้แน่นอน จึงใส่ใจศึกษา รื้อแคะ แงะมาฝึกด้วยตนเองจนมีความรู้ พอ กลับมาถึงบ้านเกิดเมืองนอน จึงยอมลงทุนซื้อรถใหม่ป้ายแดงมาถอดเครื่องยนต์ออก แล้วเอาเครื่องมือสองจากญี่ปุ่นที่ใช้ระบบอีซียูมาซ้อมมือจนชำนาญ ก่อนที่รถที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้ รุ่นแรกจะเข้ามาขายในปี 2533
    
“จริงครับ อีซียู ซ่อมไม่ได้ เพราะมันประกอบด้วยชิป ซีพียู ทรานซิสเตอร์ ไดโอด หรือสวิตช์ทางเดียว ไอซี คอนเดนเซอร์ พวกนี้ติดตั้งด้วยคอมพิวเตอร์ ไม่ได้เชื่อมด้วยมือ แต่ที่ผมทำเป็นการเปลี่ยนชิป ของรุ่นเดียวกัน เบอร์เดียวกัน มีข้อมูลเหมือนกัน ซึ่งใช้แทนกันได้ อีซียูเหล่านี้ ผมซื้อมาเก็บเป็นอะไหล่ ความยากอยู่ที่การประกอบอย่างไรให้ลงตัว ต้องค่อยถอดตัวเก่า เอาตัวใหม่แล้วเชื่อมใหม่ให้ใกล้เคียงของเดิม”
   
งานส่วนใหญ่ของอรุณ มาจากอู่ซ่อมรถ ช่างไฟฟ้ารถยนต์ ที่แก้ไขปัญหาของเครื่องยนต์ไม่ตก เจ้าของรถมักไม่ได้มาเจอกับเขาโดยตรง โดยงานที่จะรับ ก็ต้องแน่ใจว่าทำได้ เพราะรถที่มาถึงเขา มักมีปัญหามากแล้ว ต้องเริ่มจากตรวจดู และสอบถามอาการเสียหายว่าเป็นอย่างไร แต่สำหรับรถรุ่นใหม่ เขามีเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาหรือแฮนด์เฮลด์ ช่วยตรวจสอบข้อมูล โดยเสียบเข้ากับเครื่องยนต์ ระบบจะช่วยสแกนหาสาเหตุ เพื่อให้การวินิจฉัยแคบลง เพื่อตรวจสอบหาจุดปัญหาใกล้เคียงมากที่สุด เพราะเครื่องตรวจไม่ได้บอกอาการละเอียด แต่ช่วยให้ตรวจง่ายขึ้น เช่น เครื่องเคยแจ้งว่าอุปกรณ์ช่วยลดมลพิษในไอเสียก่อนไหลเข้าสู่หม้อพักเสีย แต่เมื่อตรวจพบว่าเป็นเพราะสายไฟขาด
   
อรุณบอกอีซียูส่วนใหญ่ไม่เสียง่าย ปกติจะใช้งานได้อย่างดีจนถึง 10 ปี จึงเริ่มมีปัญหา ด้วยอาการก็ไม่ต่างกับระบบอื่น เช่น สตาร์ตไม่ติด เร่งไม่ขึ้น น้ำมันท่วม แต่ที่เสียก่อนเวลาและส่งมาให้ซ่อม มักโดนน้ำ เช่น น้ำท่วมใหญ่ตามเมืองต่าง ๆ จึงมีคำแนะนำว่า หากรถจมน้ำไม่ควรสตาร์ตเครื่อง รีบลากเข้าซ่อมทันที เพราะทิ้งไว้นานจะเกิดออกไซด์ หรือสารประกอบที่เกิดจากธาตุออกซิเจนรวมกับธาตุอื่น ๆ อีกสาเหตุที่ทำให้อีซียู ขัดข้อง มาจากการที่ช่างตรวจอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยการใช้ปลายสายไฟฟ้าจี้กัน เพื่อตรวจสอบกระแส รวมถึงการพ่วงแบตเตอรี่ผิดขั้ว หรือรถที่จอดทิ้งไว้นานจนแบตเตอรี่หมดประจุไฟฟ้า แล้วพ่วงแบตฯกับรถอื่น พอสตาร์ตได้ก็ถอดสายไฟออกทันที อาจทำให้ช็อต อีซียูเสียหายได้
        
แม้ปัจจุบันรถยนต์ใช้อีซียูเป็นส่วนใหญ่ แต่ช่างที่จะซ่อมหรือแก้ไขปัญหายังมีน้อย มีกลุ่มช่างอิเล็กทรอนิกส์ที่รับงานซ่อม เพราะพื้นฐานใกล้เคียงกันแต่อรุณบอกไม่มั่นใจว่า การใช้อุปกรณ์หรือความรู้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปจะแก้ไขได้หรือไม่ แต่เขาเห็นว่าปัญหาการขาดแคลนช่างที่มีความรู้ทางด้านนี้มีอยู่ทั่วไป แม้จะมีสถาบันการศึกษาให้ความรู้เรื่องอีซียู ก็ไม่ได้เน้นการซ่อม เพราะไม่มีอุปกรณ์ให้นักศึกษาซ้อมมือ ขณะที่เขามีกล่องอีซียูเก่าอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะ 30 ปีที่ผ่านมา มีรถที่ผ่านการซ่อมโดยมือเขามาแล้วกว่าห้าพันคัน ดังนั้นจึงยินดีจะมอบกล่องอีซียูให้สถาบันการศึกษาที่มีผู้สอน นำไปให้นักศึกษาซ้อมหัดซ่อม ถอด
แก้ไข บัดกรี หรือทดสอบ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและเงื่อนไขใด ๆ
   
สถาบันการศึกษาที่ต้องการเขียนจดหมายแจ้งความจำนงถึง อรุณ วิทยานุพงษ์ ได้ที่ อรุณการไฟฟ้า 176 ซอยจินดาถวิล ถนนสี่พระยา เขตบางรัก 10500อรุณบอกว่ากว่าจะถึงวันนี้ เขาฝึกฝนแก้ไขปัญหาอีซียูให้สำเร็จมาแล้ว จากคันแรก ๆ ที่ทำเสร็จแล้วเจ้าของยังไม่เชื่อ จนเป็นที่ยอมรับในวงการ จึงอยากส่งเสริมให้นักศึกษาที่สนใจได้พัฒนาการเรียนรู้จากอุปกรณ์ที่เขามี จึงพร้อมจะให้ไปซ้อมมือฟรี ๆ.

วีระพันธ์ โตมีบุญ
Veerahant@gmail.com
http//twitter.com/vp2650
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=478&contentID=151918

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การปรับแต่งรถจักรยานให้พอดีกับตัวผู้ขับขี่



         คุณเชื่อไหมว่า ไม่มีใครถือ
สายวัดเข้าไปในร้าน ในตอนที่จะ
เลือกซื้อจักรยานคันแรก  แล้วเชื่อ
ไหมว่า แทบจะไม่มีใครเลยที่รู้จัก
ว่า  ชิ้นส่วนของจักรยานส่วนไหน
เรียกว่าอะไรบ้าง
         การเลือกรถจักรยานให้พอดีกับตัวคนขับขี่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะง่ายนัก เพราะว่าถ้าจะ
ต้องการให้พอดีลงตัวจริงๆก็คงต้องเป็นแบบcustom-made bikeหรือวัดตัวตัดกันเลย เพราะ
เขาจะวัดช่วงขา( inseem lenght ) ,วัดช่วงตัว( torso lenght ) ,วัดช่วงแขน ,วัดความกว้าง
ของไหล่ฯลฯ เพื่อจะทำจักรยานที่มีความยาวของท่อต่างๆตรงกับขนาดของผู้ขับขี่มากที่สุด แต่
จักรยานประเภทนี้ไม่ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ ส่วนราคานั้นก็แพงเอาเรื่องเลยทีเดียว ซึ่งถ้าใครเล่น
จักรยานเสือหมอบเมื่อสมัยก่อน ก็คงรู้จักกับร้านจักรยานแถววรจักร ซึ่งรับวัดตัวตัดจักรยานกัน
เป็นอย่างดี ซึ่งสมัยก่อนนั้นจักรยานสำเร็จรูปจากต่างประเทศมีราคาแพงมาก ซ้ำยังหาขนาดที่
พอดีกับตัวไม่ง่ายนัก เพราะเสือหมอบจะseriousกับขนาดของรถเป็นอย่างมากผิดกับเสือภูเขา
ที่ยังมีความยืดหยุ่นกว่า   แต่วัสดุที่จะหามาใช้นั้นเป็นเหล็กhigh tensile steel ซึ่งมีน้ำหนัก
ค่อนข้างมาก ภายหลังนั้นได้เสื่อมความนิยมลง เนื่องจากรถสำเร็จรูปจากต่างประเทศมีราคาลด
ลง มีขนาดให้เลือกมากขึ้น รวมไปถึงน้ำหนักที่เบากว่า

         คราวนี้เมื่อแบบวัดตัวตัดมีราคาแพง แต่แบบสำเร็จรูปมีราคาถูกลง  คนจึงหันมาเล่นแบบ
สำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งจักรยานพวกนี้จะคล้ายกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปเช่นกัน คือทำมาเป็นขนาดแบบ
คร่าวๆ เช่น e
XtraSmall , Small , Medium , Large , eXtraLarge  ซึ่งแต่ละขนาดก็จะ
เหมาะสมกับคนที่มีความสูงอยู่ในช่วงที่เขากำหนด  โดยที่ผู้ผลิตจะวัดสัดส่วนของประชากรใน
แต่ละกลุ่มช่วงความสูงนั้นๆแล้วจึงนำมาคำนวณหาค่าเฉลี่ย เพื่อจะได้จักรยานที่มีขนาดความ
ยาวของท่อต่างๆใกล้เคียงกับสัดส่วนของคนในกลุ่มนั้นๆมากที่สุด ซึ่งในแต่ละยี่ห้อจะแตกต่าง
กันไปตามgeometry ที่เขาออกแบบไว้  และอาจจะแตกต่างกันในเรื่องของขนาดช่วงความสูง
อีกด้วย ซึ่งคล้ายๆกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั่นแหละครับ

         
การกำหนดขนาดของจักรยานโดยการวัดความยาวของท่ออาน (seat tube) จากจุดกึ่ง
กลางของกระโหลก(bottom bracket)ไปยังสุดปลายของท่ออานหรือที่เรียกว่า
Center to top
ได้เป็นที่นิยมกันในหลายๆยี่ห้อ  ซึ่งถ้าเป็นจักรยานในสมัยก่อนคงจะกะขนาดได้ไม่ยากนัก
เพราะส่วนปลายของท่ออานจะโผล่พ้นขอบบนของท่อบน(top tube)ออกมาเพียงเล็กน้อย แต่
สำหรับเสือภูเขาในปัจจุบันคงจะบอกยากสักหน่อย  เพราะว่าแต่ละยี่ห้อนั้นปลายของท่ออานที่
โผล่พ้นออกมาจากขอบบนของท่อบนมีความสั้นยาวที่แตกต่างกันมาก  จึงทำให้ไม่สามารถกะ
เกณฑ์ได้ว่าเฟรมขนาดเดียวกันในต่างยี่ห้อจะมีขนาดใกล้เคียงกันหรือไม่

         อย่างไรก็ตาม ในบางยี่ห้อก็ยังมีการวัด
ขนาดของจักรยานที่แตกต่างกันออกไป  โดย
จะวัดจากกึ่งกลางกระโหลก  ไปยังกึ่งกลางของ
ท่อบนตรงส่วนที่มาเชื่อมติดกับท่ออาน ซึ่งจะ
เรียกกันว่า
Center to center  แล้วนอกจาก
นี้บางยี่ห้อที่ท่อบนมีขนาดใหญ่  ก็อาจวัดจาก
กึ่งกลางกระโหลก ไปยังขอบบนของท่อบนตรง
ส่วนที่มาเชื่อมติดกับท่ออาน  ถ้าเราจะเรียกว่า
Center to top of top tube ก็คงได้ครับ

         ดังนั้นจักรยานที่ต่างยี่ห้อกันเราอาจไม่รู้เลยว่าขนาดจะแตกต่างกันอย่างไรถ้าไม่รู้วิธีใน
การวัด เช่น DBR 16"กับTrek 16.5" ถ้าเอามาเทียบกันจะพบว่าDBR 16"มีขนาดใหญ่กว่า
Trek 16.5 "อย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้เพราะDBR วัดจากCenter to center   แต่Trek วัดจาก
Center to top

         ไปดูเรื่องขนาดคนก่อนไหม?
         คุณคิดว่าคนที่มีส่วนสูงเท่ากันจะมีขนาด
ของร่างกายเท่ากันไหม ก็คงจะบอกว่าไม่เท่ากัน
โดยเฉพาะถ้าเทียบระหว่าง คนไทยกับฝรั่ง  แม้
กระทั่งคนไทยกับคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าระหว่าง
เพศเดียวกันหรือระหว่างเพศชายกับเพศหญิง
         เขาแบ่งร่างกายออกเป็นส่วนๆยังไงบ้าง

  1. inseem length
  2. เป็นความยาวช่วงขาที่วัดจากเป้ากางเกง ไปยังส้นเท้าในท่ายืนเหยียดเข่าตรง ซึ่งจะมีวิธีวัดได้ง่ายๆ และแม่นยำพอสมควรโดยไม่ต้องใช้เครื่องวัดตัว
    • ใช้สมุดหรือหนังสือปกแข็ง ที่มีสันปกหนาประมาณ 1นิ้ว แล้วเอาขาหนีบเอาไว้ ดันให้สันปกประชิดติด ระหว่างขาให้แน่นที่สุด แล้วเอาขอบของสมุด (ด้าน ที่ตั้งฉากกับสันปก)ไปชนกับกำแพง  ยืนตัวตรงส้น เท้าชิดพื้น กดสันปกให้ชิดหว่างขา แล้วขีดเส้นบน กำแพงในแนวเดียวกับสันปก  วัดระยะทางระหว่าง เส้นที่ขีดนี้กับพื้น ก็จะได้เป็นค่า inseem length ( ดังรูปด้านขวามือ )
  3. Torso length
  4. เป็นความยาวช่วงลำตัว โดยวัดจากไหล่ลง ไปหาเป้ากางเกง ในทางปฏิบัตินั้นจะวัดในท่ายืนตรงแขน สองข้างแนบลำตัว แล้ววัดระยะทางจากเป้ากางเกงขึ้นไปถึง ขอบบนสุดของกระดูกกลางอก ( รอยบุ๋มระหว่างหัวของกระ ดูกไหปลาร้า ใต้คอลงมา ) ตำแหน่งนี้จะตรงแนวไหล่พอดี
  5. Head length
  6. เป็นความยาวช่วงคอ+ศีรษะ
  7. Arm length
  8. เป็นความยาวช่วงแขน โดยวัดจากไหล่ไปยัง กึ่งกลางฝ่ามือ ในทางปฏิบัติจะวัดในท่ายืนกางแขนตั้งฉาก กับลำตัว เหยียดแขนตรง มือกำดินสอ วัดระยะจากหัวไหล่ ไปยังดินสอ
  9. ความกว้างของไหล่
  10. จะวัดในท่ายืนตรงแขนสองข้างแนบชิด ลำตัว แล้ววัดระยะห่างจากขอบนอกของหัวไหล่ทั้งสองข้าง
          ซึ่งในทางทฤษฎี เมื่อผู้ชายมีอายุย่างเข้าวัย 25 ปีหรือ ผู้หญิง
มีอายุย่างเข้าวัย 20 ปี ส่วนสูงของร่างกายจะไม่เพิ่มขึ้นอีก จุดกึ่งกลาง
ความสูงของร่างกายควรจะอยู่บริเวณขอบบนของเนินกระดูกหัวเหน่า
( Pubic symphysis
,ปลายลูกศรสีดำในรูปด้านขวามือ )แต่นั่นมัน
ก็เป็นเพียงแค่ทฤษฎี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นความยาวinseemควรจะ
เกือบเท่ากับครึ่งหนึ่งของความสูงรวมของร่างกาย ( ประมาณ46-48%
ของความสูงรวม ) แต่ในคนไทยมักจะไม่เป็นเช่นนั้น เหตุผลสำคัญ
มาจากเรื่องของอาหารการกิน และการออกกำลังกายนี่แหละ  ที่มีส่วน
ทำให้คนไทยโดยเฉลี่ยมีสัดส่วนช่วงขาที่ค่อนข้างจะสั้นทั้งผู้หญิงและ
ผู้ชาย (ส่วนผู้หญิงที่เห็นช่วงขายาวๆนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะมีให้เห็นบ่อยๆ
หรอกนะครับ ถ้าจะเห็นก็คงเห็นจากพวกดารานางแบบนี่แหละครับ)
ถ้าเราลองมาดูพวกฝรั่ง ก็จะพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วฝรั่งจะดื่มนมเป็น
สัดส่วนที่สูงกว่าคนไทย รวมไปถึงมีการเน้น และปลูกฝังให้เด็กมีการ
ออกกำลังกายหรือได้เล่นกีฬาเป็นประจำ กระดูกขาจึงรับแรงกระแทก
จากพื้นดินอยู่เสมอๆ ส่งผลกระตุ้นให้มีการหลั่ง growth hormone
ออกมาในสัดส่วนที่สูงกว่า ทำให้กระดูกท่อนยาว (long bone) เช่น
กระดูกแขน,ขา ถูกกระตุ้นให้เจริญงอกยาวกว่าเด็กไทย จึงไม่ใช่เรื่อง
แปลกอะไรที่จะเห็นคนไทยเรานั่งคุยกับฝรั่งในระดับศีรษะที่เท่ากัน
พอลุกขึ้นยืนคุยกัน ทำไมหัวเราอยู่แค่หูเขาเท่านั้น  อะไรทำนองนั้น
แหละครับ ส่วนใครจะว่าเป็นเรื่องของชาติพันธุ์ก็คงไม่ใช่เสียทั้งหมด
เพราะฝรั่งที่มีสัดส่วนขาสั้นหลังยาวก็มีให้เห็นบ่อยไป ถ้าชาติพันธุ์จะ
มามีส่วนเกี่ยวข้องก็คงเป็นเรื่องความสูงรวมๆนี่แหละครับที่พอจะเห็น
กันได้ชัดเจนหน่อย
( ลองมองย้อนหลังไปดูญี่ปุ่นในยุคก่อนและหลัง
สงครามโลกครั้งที่สองเปรียบเทียบกันสิครับ แล้วจะเข้าใจเรื่องอิทธิพล
ของอาหารและการออกกำลังกาย )

         ความยาวแขนและความยาวช่วงขาจะมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งคนที่ขายาวก็มักจะมีแขนที่
ยาวด้วย และคนที่มีช่วงขาสั้นก็มักจะมีแขนที่สั้นด้วยเช่นกัน ( เพราะว่าแขนและขา ต่างก็เป็น
long boneซึ่งจะได้รับอิทธิพลจากgrowth hormoneเช่นกัน ถ้าขาได้รับการกระตุ้นให้งอก
ยาวออก แขนก็จะได้รับเช่นกัน เพียงแต่ว่าสัดส่วนอาจจะแตกต่างกันในแต่ละคน และระหว่าง
เพศชายและหญิง )

         inseem length จะมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกขนาดของจักรยาน  โดยพิจารณา
จากระยะห่างระหว่างท่อบนกับพื้นดิน (stand over height)ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
(จะกล่าวถึงในตอนต่อไป)แล้วยังมีผลต่อความยาวของหลักอานที่จะใช้   ส่วนtorso length +
arm length จะเป็นตัวกำหนดการเลือกความยาวของท่อบน + ความยาวของคอ (stem) รวม
ไปถึงมุมก้มมุมเงยของคอ(stem angle)

         แล้วจักรยานหละมีอะไรมาเกี่ยวข้องบ้าง
  1. ค่า Stand over height
    • เป็นระยะห่างระหว่างขอบบนของท่อบน( Top tube ) กับพื้นดิน  แล้วในทาง
      ปฎิบัติจะวัดตรงบริเวณไหนของท่อบน เพราะในเสือภูเขานั้นส่วนท่อบนจะลาด
      เทจากด้านหน้าลงมาหาท่ออาน(Seat tube) ซึ่งสเปคของแต่ละค่ายแทบจะไม่
      เหมือนกันเลย รวมไปถึงวิธีในการวัดด้วย  โดยส่วนตัวแล้วจะใช้วิธีไปยืนคร่อม
      จักรยาน  แล้วเอาหลังแตะกับส่วนหน้าสุดของอาน  จากนั้นจึงวัดความสูงของท่อ
      บนในตำแหน่งที่ตรงเป้ากางเกง ก็จะได้ค่าstand over height ใกล้เคียงความ
      จริงที่ใช้งานที่สุด

    • Stand over height เป็นค่าความปลอดภัยขั้นพื้นฐานในการใช้จักรยาน  ใน
      ท่านั่งปั่นจักรยานที่ถูกต้องนั้น ปลายเท้า2ข้างของเราจะไม่สามารถสัมผัสพื้นได้
      การลงจากจักรยานโดยวิธีพื้นฐานจะใช้การหยุดรถ  แล้วลงจากอานมายืนคร่อม
      ท่อบน  โดยวิธีการนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเหลือระยะห่างระหว่าง เป้ากางเกง
      กับ ขอบบนของท่อบน พอสมควรสำหรับความปลอดภัย (โดยเฉพาะผู้ชาย)  
      ซึ่งจะได้กล่าวให้ทราบในตอนต่อไป

    • ค่าStand Over Height ในรถแต่ละคันจะมีความแตกต่างกันโดยมีผลมาจาก
      1. มุมของท่ออาน(Seat tube angle,มุมที่ท่ออานทำกับแนวระนาบ) และ
        ความยาวของท่ออานจากกึ่งกลางกระโหลกไปยังขอบบนของท่อบน  หรือ
        center to top of top tube
      2. ความสูงของกระโหลกจากพื้นดิน ในรถบางยี่ห้ออาจจะมีความสูงของกระ-
        โหลกจากพื้นดินค่อนข้างมาก เนื่องจากออกแบบให้ใช้กับภูมิประเทศที่มี
        ก้อนหินใหญ่  เพื่อลดโอกาสที่ส่วนของกระโหลก บันได รวมไปถึงใบจาน
        จะกระแทกกับก้อนหิน
      3. ระยะยุบตัวของชอคแอบซอบเบอร์หน้า (front shock absorber) ชอค
        หน้ารุ่นก่อนๆจะมีระยะยุบตัวที่ประมาณ 2นิ้วครึ่งหรือ 63 มม. ภายหลัง
        ได้มีการเพิ่มระยะยุบตัวขึ้นอีกเป็น 3นิ้วเศษหรือ 80 มม.  ซึ่งทางRock
        shox เรียกมันว่า long travel shock absorber(อย่าสับสนไปแปลว่า
        ชอคแอบซอบเบอร์สำหรับการเดินทางระยะไกลนะครับ เป็นคนละความ
        หมายกันเลยทีเดียว)  ในชอคประเภทหลังนี้จะมีความยาวของขาชอคใน
        ระยะพักมากกว่าพวกแรกประมาณกว่าครึ่งนิ้วหรือ17มม.ซึ่งจะทำให้ส่วน
        หน้าของจักรยานถูกยกสูงขึ้นด้วย
      4. รูปร่างของท่อบน( Top tube shape ) โดยทั่วไปจักรยานส่วนใหญ่จะ
        ใช้ท่อบนมีลักษณะเป็นท่อลาดตรงแต่ในปัจจุบันจักรยานหลายยี่ห้อและ
        หลายรุ่นทีเดียวที่ทำท่อบนให้โค้งลงเพื่อชดเชยกับความสูงของกระโหลก
        และระยะยุบตัวของชอคหน้าที่เพิ่มขึ้น จึงคล้ายๆกับจะเป็นการเอาใจคน
        ที่มีช่วงขาสั้น ไปกลายๆ

  2. ค่า Effective top tube length หรือ Horizontal top tube length
    • ถ้าเราวัดความยาวของท่อบนตามความยาวจริง( actual length ) เราอาจจะไม่
      สามารถบอกได้ว่ารถคันนี้มีช่วงยาวจริงๆสักแค่ไหน และไม่สามารถเทียบระยะ
      ห่างระหว่างท่อคอ(head tube)กับอานได้เพราะว่าในจักรยานแต่ละขนาด มุม
      ลาดของท่อบนจะแตกต่างกัน ทำให้การวัดความยาวจริงๆไม่ได้ประโยชน์อะไร
      เราจึงต้องวัดความยาวของท่อบนตามแนวราบแทน   โดยวัดความยาวของเส้นที่
      ลากจากจุดกึ่งกลางตรงบริเวณปลายท่อบนเชื่อมกับท่อคอ ตามแนวขนานกับพื้น
      ราบไปจนถึงกึ่งกลางของท่ออาน หรือหลักอาน(seat post)  ความยาวที่วัดได้นี้
      เรียกว่า"effective top tube length"หรือ"horizontal top tube length"ซึ่ง
      ในบางยี่ห้ออาจจะวัดแตกต่างกันไป

    • Effective top tube lengthจะเป็นค่าที่ใช้พิจารณาประกอบการเลือกขนาดรถ
      ให้เหมาะสมกับตัวเรา


  1. ความยาวและมุมก้มเงยของคอ ( stem length and stem angle )
    • โดยปกติแล้วคอ (stem) ที่ติดมากับรถจะมีความยาว และมุมเฉลี่ยสำหรับคนที่
      อยู่ในช่วงความสูงเฉลี่ยของรถขนาดนั้นๆและจะเหมาะสมกับลักษณะการใช้รถ
      ด้วย เช่น รถเพื่อการออกกำลังกาย หรือ รถเพื่อการแข่งขัน

    • คอมีค่าความยาวหลากหลายขนาด  โดยสากลจะวัดจากจุดศูนย์กลางของด้านที่
      จับกับแกนชอค ไปยังจุดศูนย์กลางของด้านที่จับกับแฮนด์ (handle bar) อาจ
      จะมีค่าตั้งแต่ 75 - 150 มม. ในแต่ละยี่ห้อจะแบ่งขั้นความยาว ( Increment )
      ไม่เท่ากัน

    • มุมก้มเงยของคอ เป็นมุมที่แนวแกนของคอทำกับเส้นที่ลากตั้งฉากกับแกนชอค
      (ดูรูปด้านบนประกอบ)ซึ่งจะมีค่าหลากหลายตามแต่ละยี่ห้อ  ในบางยี่ห้อยังอาจ
      จะวัดมุมที่แนวแกนของคอทำมุมกับแกนชอคแทน เช่น 90 องศาก็จะเท่ากับ 0
      องศา ของแบบแรก ) ถ้าต้องการมุมที่ก้มลง หรือมุมติดลบก็ให้กลับคว่ำคอลง

    • มุมก้มเงยของคอนั้นเราสามารถเลือกเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับความยาวช่วงตัว
      ช่วงแขน และลักษณะลีลา รวมไปถึงนิสัยใจคอในการขับขี่ ของผู้ขับขี่เอง

  2. แฮนด์ ( handle bar )
    • แฮนด์โดยทั่วไปจะมีความกว้างอยู่ในช่วง 21-24"
    • แฮนด์มีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
      • แฮนด์ตรง ซึ่งที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ตรงเหมือนชื่อ เพราะมีมุมเอนไปด้าน
        หลังอาจจะตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 12 องศา
      • แฮนด์ยกหรือที่เรียกว่าแฮนด์ปีกนก (มันคงจะคล้ายจริงๆกระมัง) จะเห็น
        ได้ในรถกลุ่มdownhill หรือ freeride ซึ่งเป็นแฮนด์ที่นั่งขี่สบาย

  3. ค่าอื่นๆ
  4. ความยาวของช่วงล้อ(wheel base),ความยาวของตะเกียบโซ่(chain stay),มุมท่ออาน
    (seat tube angle), มุมท่อคอ(head tube angle) คงจะขอละเอาไว้ เนื่องจากเราไม่
    สามารถไปกำหนดกะเกณฑ์กับมันได้ เพราะว่ามันจะขึ้นกับการออกแบบรถรุ่นนั้นๆว่า
    ต้องการจะให้เป็นรถเพื่อใช้ในการแข่งขัน หรือ รถเพื่อออกกำลังกาย หรือ Sport utility
    หรือเป็นCity bike  ตัวอย่างเช่นรถที่ออกแบบมาสำหรับเป็นรถแข่งจะมีช่วงล้อที่สั้นกว่า
    มีมุมท่อคอและมุมท่ออานที่ชันกว่ารถที่ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับออกกำลังกาย  เพราะ
    รถแข่งย่อมเน้นที่ความคล่องแคล่วและปราดเปรียว ต่างจากรถที่ใช้ในการออกกำลังกาย
    ซึ่งเน้นที่การขี่ง่าย และเสถียรภาพของการทรงตัว  อันนี้คงจะขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการ
    เลือกซื้อรถของเรา
  • HTA = head tube angle
  • STA = seat tube angle
  • CS = chain stay length

         แล้วตัวของเราหละปรับแต่งอะไรได้บ้าง
          คงจะต้องเรียนให้ทราบตรงๆว่าคงจะปรับแต่งอะไรไม่ได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่หรอกครับ
(ยกเว้นจะมีใครบริจาคให้ทุนไปเกิดใหม่อะไรทำนองนั้นแหละ)เมื่อรู้ว่าปรับแต่งอะไรไม่ได้อีก
แล้วก็คงจะต้องยอมรับสังขารของเราแหละ  สิ่งแรกที่อยากจะแนะนำก็คือลองวัดความยาวช่วงขา
ดูก่อนไหมครับว่ามันสั้นหรือยาวได้ส่วนหรือไม่ เพราะว่าอย่างน้อยมันก็มีส่วนช่วยให้ตัดสินใจ
เลือกรถได้ง่ายขึ้นบ้าง

         คราวนี้ก็คงถึงเวลาที่จะเสียเงินซื้อรถกันหละสิ คงตัดสินใจกันได้แล้วนะครับว่า จะซื้อรถ
เพื่อเอาไปทำอะไรดี จะเอาไปใช้จ่ายตลาด ออกกำลังกาย หรือ มากไปกว่านั้น อันนี้คงต้องแล้ว
แต่ใจและงบประมาณกันแล้วหละครับ หาร้านที่เชื่อใจได้(พิสูจน์กันเอาเองนะครับ)  เลือกรถที่
ถูกใจทั้งยี่ห้อ รุ่น สีสัน อุปกรณ์ที่ติดมากับรถ ของแถม แล้วก็ต้องเลือกให้ได้ขนาดที่พอดีกับตัว
ของเรา ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญทีเดียวเลย เพราะว่าอุปกรณ์อื่นๆถ้าไม่พอใจก็พอจะเปลี่ยนกันตรง
นั้นได้เลยหรือไม่ก็อาจจะupgradeกันใหม่ได้ในภายหลัง
แต่สำหรับเฟรมแล้วถือว่าเป็นหัวใจ
หลักของจักรยานเลยทีเดียว ถ้าซื้อผิดขนาดก็คงแก้ไขอะไรได้ยาก
แต่ก็แปลกที่คนส่วนมากมัก
จะซื้อรถที่มีขนาดใหญ่กว่าสัดส่วนของตัวเอง

         บังเอิญคุณไปพบจักรยานที่ถูกใจเข้าแล้วหละ  คราวนี้จะรู้ได้ยังไงหละว่ามันได้ขนาดพอ
ดีหรือเปล่า
  • ขั้นแรก
  • คือให้คุณถอดรองเท้าออกแล้วลองไปยืนคร่อมท่อบนของจักรยานคันนั้น ถ้าคุณ เป็นคนที่มีสัดส่วนของร่างกาย รวมไปถึงความยาวช่วงขาที่ไม่ได้เบี่ยงเบนต่างไปจากค่า เฉลี่ยปกติของกลุ่มประชากรที่มีความสูงเท่าๆกับคุณแล้ว  ขนาดของจักรยานเสือภูเขาที่ ออกแบบมาให้คุณใช้นั้นควรจะมีระยะห่างวัดจากท่อบนถึงเป้ากางเกงของคุณอยู่ในช่วง 2 - 4 นิ้ว ( inseem length ยาวกว่า stand over height 2 - 4 นิ้ว ) แต่บางครั้งอาจ จะมีปัญหาสำหรับบางคน เช่น ผมมีส่วนสูง167.5ซม. inseemยาว 79ซม.หรือ 31นิ้ว นิดๆ แต่ยังสามารถยืนคร่อม Klein attitude'98 size M (ซึ่งออกแบบมาสำหรับคนที่ สูง 170 - 177 ซม)ได้สบาย โดยยังเหลือระยะห่าง 2 นิ้ว ในขณะที่ถ้ามายืนคร่อมsize S (ซึ่งออกแบบมาสำหรับคนที่สูง 162 - 170 ซม)จะเหลือระยะห่างร่วมๆ 4 นิ้ว ผมอาจ จะเลือกSize M ที่ดูสวยกว่า (รถsize ใหญ่กว่าจะดูสวยกว่ารถsizeเล็ก) คนส่วนใหญ่ก็ มักจะเผลอเลือกรถที่ใหญ่กว่าตัวเองเสมอๆ เพราะนอกจากจะดูสวยแล้ว  ก็ยังขี่ได้ง่ายใน ทางเรียบหรือทางตรง แต่ถ้ามาดูกันลึกๆก็จะพบว่า รถsize M มันใหญ่กว่าผมเล็กน้อย เพราะว่าในการเอื้อมจับแฮนด์ ผมจะต้องโน้มตัวไปด้านหน้ามากกว่าที่ควร อยู่เล็กน้อย ตรงกันข้ามกับรถsize S ซึ่งนั่งได้สบายกว่า หลังอาจจะตั้งไปนิดหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรายังปรับแต่งมันได้อีก
    • สำหรับคนที่มีinseem length สั้นเกินกว่าที่ควรจะเป็น การเลือกขนาดโดยใช้
      วิธียืนคร่อมเพื่อดูระยะห่างเช่นคนทั่วๆไปนั้น ก็อาจจะได้รถที่เล็กเกินไป
    • และคนที่มีinseem length ยาวเกินกว่าที่ควรจะเป็น การเลือกขนาดโดยใช้วิธี
      ยืนคร่อมเพื่อดูระยะห่างเช่นคนทั่วๆไปนั้น ก็อาจจะได้รถที่รถที่ใหญ่เกินไป
          ทางออกสำหรับคนกลุ่มนี้ ก็คือจะต้องไปเทียบกับคนที่มีส่วนสูงใกล้เคียงกันว่าเขาขี่ รถขนาดไหนลงตัว แล้วเอามาดัดแปลงให้เข้ากับตัวเอง หรืออาจต้องหาทางออกด้วยการ วัดตัวตัดจักรยานกัน ( แพงนะ )       รถใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย กับรถเล็กกว่าตัวเล็กน้อยมันต่างกันอย่างไร       หลายๆคนคงอาจจะคล้ายกับผมที่มีปัญหาในการเลือกรถที่มีขนาดคร่อมsize  ซึ่ง พูดง่ายๆว่า ส่วนสูงของร่างกายเราสามารถขี่รถได้ 2ขนาด เช่น คร่อมกลางระหว่างsize S กับsize M  เรามาดูข้อแตกต่างเปรียบเทียบกันดีกว่าครับ
    • รถที่ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย
      • มีข้อดี ได้แก่ ดูสวย ขี่ออกกำลังกายหรือเดินทางในทางเรียบสบาย รถนิ่ง
        ไม่ค่อยแกว่งไปมา
      • ข้อเสียที่สำคัญคือ จะเป็นรถที่ขาดความคล่องตัวโดยเฉพาะการเข้าโค้งที่
        ความเร็วสูง หรือ การเลี้ยวในที่คับแคบ เช่น ในทางSingle tract  (ทาง
        แคบๆที่รถจะผ่านไปได้ทีละคัน) และที่สำคัญก็คือในกรณีที่ต้องการไป
        ลุยในทางโหดๆหรือทางที่มีหินก้อนใหญ่ๆ ระยะห่างระหว่างเป้ากางเกง
        กับท่อบนอาจจะไม่มากพอ ที่จะให้ความปลอดภัยได้
    • ในขณะที่รถที่เล็กกว่าตัวเล็กน้อย
      • ข้อเสียจะมีก็เพียงแค่ดูไม่สวยนัก ท่อบนที่ลาดลงมากๆทำให้ดูไม่ค่อยจะ
        ขลัง  เวลาปั่นด้วยความเร็ว รถจะไม่ค่อยนิ่ง หรืออาจจะรู้สึกแกว่งๆ
      • ข้อดีที่สำคัญคือ จะว่องไวในทางโค้ง ทรงตัวหรือเลี้ยงตัวได้ดีในทางแคบ
        รวมไปถึงระยะปลอดภัยที่เหลือเฟือสำหรับการลุย
          ข้อสรุปคือ คุณควรจะเลือกรถที่มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่คุณยังขี่ได้อย่างสบาย (ถ้าหาก คร่อมsize ก็ควรเลือกขนาดเล็กกว่าไว้จะดีกว่าครับ)
  • ขั้นที่สอง
  • คุณต้องลองมันดูดัวยตัวของคุณเอง เริ่มต้นด้วยการลองปั่นมันไปรอบๆร้าน ดู ว่าท่านั่งและความรู้สึกในการบังคับควบคุมเป็นอย่างไร ซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่เคยลองมาก่อน อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากสักหน่อย คงต้องอาศัยคนขาย( ซึ่งควรจะไว้ใจได้ ) หรือเพื่อน ผู้มีประสพการณ์เป็นผู้ช่วยสังเกตให้ว่าท่านั่งเป็นอย่างไร ท่านั่งที่เหมาะสมนั้นแนวหลัง จะทำมุมกับพื้นราบ 45 ํ ศอกจะหย่อนเล็กน้อยไม่ใช่เหยียดตรงจนสุด  ส่วนท่านั่งที่ไม่ เหมาะสมนั้นตัวคุณเองอาจจะไม่รู้สึกอะไรในช่วงแรก (เพราะความรู้สึกอยากจะเสียตังค์ ซื้อมันมาบดบัง) แต่หลังจากที่ปั่นไปได้สักพักหนึ่ง มันจะเริ่มมีอาการปวดเมื่อยเอว,หลัง ไหล่,คอ ซึ่งนั่นก็มักจะหลังจากที่คุณจ่ายเงินซื้อมันกลับไปปั่นที่บ้านแล้วเท่านั้น       มันอาจจะใจร้ายไปสักนิด ที่จะบอกว่าคุณจะต้องเป็นผู้สรุปเองว่าพอใจกับรถคันนั้น หรือไม่ เพราะว่าคุณเป็นผู้จ่ายเงิน มิใช่เพื่อนหรือคนขาย  ถ้าแน่ใจว่ารถคันนั้นมีขนาด พอดีกับตัวของคุณเองและเป็นที่ถูกใจจริงๆ ก็ซื้อมัน ส่วนเรื่องท่านั่งที่อาจจะรู้สึกว่ายังไม่ ค่อยจะลงตัวเท่าไรนัก เรายังสามารถปรับแต่งมันได้อีกพอสมควร 
         การปรับแต่งรถให้พอดีกับตัวผู้ขับขี่
         การปรับแต่งรถให้พอดีกับตัวผู้ขับขี่นั้น จะยึดหลักการของความสบายและความปลอดภัย
ของผู้ขับขี่ สามารถบังคับควบคุมรถได้ง่ายรวมไปถึงออกแรงปั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้
ถ้าหากเลือกรถที่ไม่ถูกขนาดเสียตั้งแต่แรกแล้ว ทางออกในการปรับแต่งรถให้ลงตัวกับคนขับขี่ก็
อาจจะทำได้ไม่มากนัก
  1. ความสูงของอาน
  2.   โดยเฉลี่ยแล้วหลักอานมาตรฐานที่มีในท้องตลาดจะมีความยาวตั้งแต่ 330 ,350 ,370 ,410 mm ซึ่งอาจหลากหลายมากไปกว่านี้   ในรถที่เล็กกว่าเราเกินไป หลักอานที่ติดมากับรถซึ่งมักจะยาวไม่เกิน 350 mm  ก็อาจจะถูกยืดออกมาจนเลยระยะ ปลอดภัยของหลักอานได้  ในขณะที่รถที่ใหญ่กว่าเรา หลักอานจะโผล่ออกมาจากท่ออาน เพียงเล็กน้อย ดูกุดๆยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วความสูงของอานที่เหมาะสม จะ ทำให้เราสามารถขึ้นลงได้สะดวก ออกแรงถีบบันไดได้อย่างมีประสิทธิภาพ  รวมไปถึงลด โอกาสที่จะทำให้มีอาการปวดเข่า       ความสูงของอานที่พอเหมาะนั้น ถ้าเราสวมรองเท้าแล้วเหยียบบันไดด้วยส่วนที่ค่อน ไปทางปลายเท้า ( ในตำแหน่งที่ตรงกับข้อโปนของโคนนิ้วหัวแม่เท้า ) แล้วถีบบันไดลง ล่างให้แนวของขาจาน(crank arm)อยู่ในแนวเดียวกันกับแนวของท่ออาน  จะพบว่าข้อ เข่าของเราจะเหยียดเกือบสุด พูดง่ายๆว่ายังงออยู่นิดหน่อย       วิธีปรับความสูงของอานอย่างง่ายๆซึ่งบริษัทในเครือของTrekแนะนำ ได้แก่
    1. ถอดรองเท้าออก แล้วเอาส่วนของส้นเท้าวาง
      บริเวณแกนบันได
    2. ถีบบันไดลงล่าง   ให้แนวของขาจานอยู่ใน
      แนวเดียวกันกับแนวท่ออาน  ปรับความสูง
      ของอานจนกระทั่งขาข้างนั้นเหยียดตรงจน
      สุด
    3. สวมรองเท้า  เอาส่วนค่อนไปทางปลายเท้า
      เหยียบที่แกนบันไดแทน  จะพบว่าในท่า
      เดียวกันนี้ เข่าจะเหยียดเกือบสุดพอดีๆ
  •       
  • ความสูงของอานที่เตี้ยเกินไป   อาจจะทำให้มี อาการปวดในส่วนด้านหน้าหัวเข่า โดยเฉพาะการ ใช้เกียร์หนักๆ และอาจจะทำให้มีน่องใหญ่เหมือน สามล้อถีบ ในขณะที่ความสูงของอานที่มากเกินไป จะทำให้ต้องเขย่งปลายเท้าปั่น  อาจทำให้มีปัญหา ในเรื่องการเจ็บเอ็นร้อยหวาย หรือเจ็บด้านหลังของ เข่าได้
  1. ตำแหน่งอานหน้า-หลัง( fore-aft position ) และมุมก้มเงยของอาน
  2. เราอาจจะขยับอาน ให้เดินหน้าหรือถอยหลังจนได้ระยะห่างจากแฮนด์ตามที่เราต้องการได้    โดยเฉลี่ยแล้ว ตำแหน่งอานหน้า-หลังที่ทำให้การออกแรงถีบบันไดได้แรงดีที่สุด ( สำหรับจักรยานเสือ หมอบ หรือ จักรยานเสือภูเขาที่มีมุมท่ออานอยู่ในช่วง 73.5-74.5 ํ ) จะอยู่ในช่วงแคบๆ ซึ่งเราอาจจะปรับได้ดังนี้
    1. หมุนบันได  ให้แนวของขาจานทั้งสองข้าง
      ขนานกับพื้นโลก  นั่งบนอานตรงตำแหน่ง
      ที่นั่งเป็นประจำ
    2. วางเท้าเหยียบบนบันไดที่อยู่ด้านหน้าด้วย
      ส่วนที่ค่อนไปทางปลายเท้า  ( ในตำแหน่ง
      ที่ตรงกับข้อโปนของโคนนิ้วหัวแม่เท้า )
    3. เล็ง หรือ วัดสายดิ่ง( ถ้าซีเรียส ) ให้กึ่งกลาง
      ของลูกสะบ้าอยู่ในแนวดิ่งเดียวกันกับแกน
      ของบันไดข้างที่อยู่ด้านหน้า
          พร้อมๆกันนั้นก็ปรับแนวมุมก้มเงยของอานให้ได้มุมที่เหมาะสม   ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ในอานทั่วไปจะปรับให้ส่วนแนวราบของอานขนานกับพื้นโลก หากปรับอานให้เงยมาก เกินไป ก็อาจจะเกิดการกดทับ"น้องชาย"ให้เกิดอาการชา  หรืออาจจะเกิดปัญหาที่หลาย คนกลัวกันได้  แต่ถ้าหากปรับให้อานก้มเกินไป เวลาปั่นจะมีการเลื่อนไหลของก้นลงมา จากอานทำให้ต้องเกร็งท่อนเอวเอาไว้ ส่งผลให้เกิดอาการปวดเอวได้ง่ายๆ
  1. ความเหมาะสมของคอ (stem)
  2. จะเห็นว่า 2ข้อข้างบนนั้นแทบจะปรับอะไรตามใจเราไม่ ได้มากเลย เพราะต้องถูกบังคับตามความยาวของช่วงขา จะมีเพียงคอนี่แหละที่จะเป็นตัว ปรับให้รถเข้ากับตัวเราได้ (ปรับตัวเราไม่ได้แล้วหละ ยกเว้นจะไปเกิดใหม่)  โดยปกติถ้า รถคันนั้นพอดีกับตัวเรา ความยาวและมุมก้มเงยของคอที่ติดมากับรถนั้นก็มักจะใกล้เคียง หรือเหมาะสมกับตัวเรา แต่สำหรับคนที่มีรายละเอียดของช่วงตัวและช่วงแขนเบี่ยงเบนไป จากค่าเฉลี่ย ก็อาจจะเปลี่ยนคออันใหม่ที่มีความยาวและมุมก้มเงยที่เหมาะสมมาใช้แทน       ความยาวของคอ  จะเป็นตัวแปรตัวหนึ่งในการกำหนด"ระยะเอื้อม" ระหว่างอานกับ แฮนด์ (อีกตัวหนึ่งคือ horizontal top tube length) ระยะเอื้อมที่เหมาะสมนั้น จะทำ ให้แนวหลังของผู้ขับขี่ทำมุมกับพื้นราบ 45 ํ ถ้าระยะเอื้อมมากเกินไปผู้ขับขี่จะต้องหมอบ หรือก้มหลังมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเอว หรือรู้สึกไม่ค่อยสบายรวมไป ถึงอาจจะรู้สึกเมื่อยคอมากกว่าที่ควร เพราะจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเงยหน้า เพื่อมองทาง  ดังนั้น
    • รถที่มีขนาดใหญ่เกินไปกว่าตัวผู้ขับขี่   ความยาวของhorizontal top tube และ
      คอที่ยาวเกินไป  จะทำให้มีระยะเอื้อมมากเกินกว่าที่ผู้ขับขี่จะปรับตัวให้รู้สึกสบาย
      ได้  การเปลี่ยนคอที่สั้นลงมาก็จะทำให้ระยะเอื้อมลดลงมาได้  แต่feelingในการ
      บังคับรถจะเปลี่ยนไปจากgeometryของรถแบบนั้นๆ
    • ในทางตรงกันข้ามสำหรับรถที่เล็กเกินไปกว่าตัวผู้ขับขี่  ความยาวของhorizontal
      top tubeจะสั้นลงร่วมกับคอที่สั้นลงมาอีก จะทำให้มีระยะเอื้อมน้อยเกินไป  ตัวผู้
      ขับขี่จะขี่รถในลักษณะหลังค่อนข้างตั้งและต้านลม  เมื่อต้องการจะเร่งความเร็วใน
      ขณะปั่นก็จะต้องห่อไหล่ งอศอก เพื่อให้ลู่ลมขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยไหล่
      การเปลี่ยนคอที่ยาวขึ้นจะทำให้ระยะเอื้อมเพิ่มขึ้น  แต่น้ำหนักจะไปตกที่ล้อหน้า
      มากขึ้น ทำให้รถมีอาการหน้าไวขึ้น การบังคับอาจจะไม่ง่ายนักโดยเฉพาะเวลาที่
      ปั่นลงเขา
          ส่วนมุมก้มเงยของคอ  จะมีผลต่อความสูงของแฮนด์(handle bar height) ซึ่งจะขอ กล่าวในข้อถัดไป
  3. ความสูงของแฮนด์ (handle bar height)
  4.   นอกจากระยะเอื้อมแล้ว ความสูงของแฮนด์ก็ มีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกสบายในการขับขี่  รวมไปถึงมีผลต่อการกระจายน้ำหนักไป ยังล้อหน้าซึ่งส่งผลไปถึงการควบคุมรถ  ปัจจัยที่มีผลต่อความสูงของแฮนด์นอกเหนือจาก มุมก้มเงยของคอ ได้แก่ความยาวของชอคหน้า ความยาวของท่อคอ(head tube)(ท่อคอ จะมีความยาวเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนขนาดรถที่ใหญ่ขึ้น)   จำนวนและความหนาของแหวน รอง(spacer ring)ระหว่างชุดถ้วยคอกับคอ และ รูปร่างของแฮนด์(แฮนด์ตรง ,แฮนด์ปีก นก) รวมไปถึงมุมเอนของแฮนด์ ความสูงของแฮนด์ที่ขับขี่ได้ถูกใจนั้นจะมีความสัมพันธ์ กับความยาวของช่วงตัวและความยาวของช่วงแขนของผู้ขับขี่เช่นกัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ ยังขึ้นกับชนิดของรถ ลักษณะและลีลาในการขับขี่ของแต่ละบุคคล       ในทางทฤษฎี(ของฝรั่งขายาว ตัวสูง)ความสูงของแฮนด์ควรจะต่ำกว่าอานประมาณ 2 ถึง 3.5นิ้ว เพียงแต่ว่าทฤษฎีนี้มาจากสัดส่วนของฝรั่งตัวสูงที่มีสัดส่วนช่วงขาและแขนโดย เฉลี่ยยาวกว่าคนไทย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่จะปรับให้แฮนด์อยู่ ต่ำกว่าอานมากถึงขนาดนั้นโดยไม่ทำให้มีผลต่อการบังคับรถ และมีผลต่อตัวผู้ขับขี่เอง       ลองมาคิดดูเล่นๆ ในคนไทยที่สูง165 ซม.ซึ่งเป็นสัดส่วนสำหรับรถsize S  กับฝรั่ง ที่มีส่วนสูง 182 ซม.ซึ่งเป็นสัดส่วนสำหรับรถsize L  เมื่อจับมานั่งบนอานเพื่อเปรียบกัน ความสูงของอานรถsize L มันต้องสูงกว่าsize S วันยังค่ำ ยิ่งขายาวกว่าด้วยแล้วยิ่งสูงไป กันใหญ่ ในขณะที่ความยาวของท่อคอรถsize L ยาวกว่าsize S เพียงไม่เท่าไหร่  ท้าย สุดแล้วผลต่างระหว่าง ความสูงของอาน กับความสูงของแฮนด์ในรถsize L ก็จะแตกต่าง จากรถsize S อย่างมากมาย ดังนั้นเรื่องที่จะทำให้อานสูงกว่าแฮนด์ 3 นิ้วนั้นดูไม่ใช่จะ เป็นเรื่องยากอะไรสำหรับคนที่สูงขนาดนั้น       ลองมาหลับตาแล้วนึกภาพคนที่แขนยาวขายาวหลังสั้น นั่งขี่จักรยานในท่าที่หลังทำ มุมกับโลกประมาณ 45 ํ  เขาสามารถวางแขนวางมือจับแฮนด์ที่มีระดับต่ำกว่าอานมากๆ ได้โดยที่ไม่มีผลอะไรกับการรับน้ำหนักของไหล่ของเขานัก เพราะแขนที่ยาวกว่านั่นเอง แล้วลองหลับตามานึกถึงคนไทย ที่ขาไม่ยาวนัก หลังค่อนข้างยาว แขนที่ค่อนข้างสั้นมา นั่งลงบนรถsize S เมื่อปรับให้หลังทำมุม 45 ํ เช่นกัน  แฮนด์จะต้องถูกยกขึ้นมาหามือ เพราะว่าแขนไม่ยาวพอที่จะส่งมือไปถึงแฮนด์ ในขณะที่อานจะต้องเตี้ยลงเพราะขาที่ไม่ ยาวพอ ยังไงเสียอานมันก็ไม่มีทางสูงไปกว่าแฮนด์ได้มากมายอย่างที่ต้องการ  บางทีอาจ จะเตี้ยกว่าแฮนด์เสียด้วยซ้ำ หลายคนอาจจะทดลองกลับคว่ำคว่ำคอลง เอาspacer ring ออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะให้แฮนด์ต่ำลงมา   ผมเองก็เคยทำให้แฮนด์ต่ำกว่า อานได้ถึง 3.5 นิ้ว เท่าทฤษฎีของฝรั่งแขนยาว(แต่เราแขนไม่ยาวเท่า) แต่ผลออกมาก็คือ ตัวของเราจะโน้มไปข้างหน้ามากขึ้นทำให้น้ำหนักของรถตกที่ล้อหน้าเพิ่มขึ้น อาจจะก้ม หลังได้มากขึ้นอีกนิดลู่ลมเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่เป็นรถที่ขับขี่ยาก  น้ำหนักของรถที่เลื่อน มาลงที่ล้อหน้ามากขึ้นทำให้รถมีอาการหน้าไวมาก บังคับยาก ไหล่และแขนรับน้ำหนัก มากขึ้น ต้องเงยหน้าและเกร็งคอเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยแขนไหล่และคอ  ยิ่ง เวลาลงเขาจะน่าหวาดเสียว   อย่าลืมนะครับเสือภูเขาไม่ใช่เสือหมอบไม่ใช่จักรยานถนน รถที่แฮนด์ต่ำมากอย่างเสือหมอบนั้นเหมาะสำหรับถนนเรียบและการใช้ความเร็วสูง ผิด กับเสือภูเขาที่ใช้ได้กับทางทุกประเภทจึงต้องคิดถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย สุดท้ายแล้วผมทำให้มัน ต่ำกว่ากันเพียง 2 นิ้ว ซึ่งพบว่ารถเปลี่ยนนิสัยไปมากเลย บังคับได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังเป็นรถ ที่ขี่สนุกเช่นเดิม       ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่ง เธอเป็นเจ้าของGary Fisher รุ่นParagon'99 size XS  ซึ่ง เป็นขนาดพอดีกับความสูง158ซม.ของเธอ  รถคันนี้ให้ JudyXC '99  80mm travel เป็นชอคหน้า เมื่อปรับความสูงของอานได้ที่แล้ว ปรากฏว่าแฮนด์สูงกว่าอานเกือบ 2 นิ้ว ดูแล้วเหมือนกับBMX  แต่เมื่อเจ้าของได้นั่งปั่น ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง มุมหลัง มุมแขน  ดู พอดีและลงตัวไปหมด       ดังนั้นอย่าไปปักใจกับทฤษฎีของฝรั่งมากนักเลยครับ สรีระที่แตกต่างกันนั้นไม่อาจ ใช้ข้อสรุปเดียวกันได้ ความสูงของแฮนด์นั้นจะขึ้นกับสรีระของร่างกายและจักรยานที่ใช้ ขอเพียงแต่คุณปรับมันให้ขับขี่สบายที่สุด สนุกที่สุดและลงตัวที่สุด  เท่านั้นก็พอแล้วครับ อย่าไปสนใจคนอื่นมาก
  5. ความกว้างของแฮนด์ (handle bar)
  6.   เหมือนอย่างที่บอกไว้แล้วว่าแฮนด์โดยทั่วไปจะมี ความกว้างเฉลี่ย 21 - 24" ในกรณีของเสือหมอบนั้นจะเลือกแฮนด์ที่มีความกว้างเท่ากับ ความกว้างของไหล่เพราะถูกบังคับด้วยท่าขี่   แต่สำหรับเสือภูเขาอยากจะขอให้คิดก่อนที่ จะหั่นแฮนด์ให้สั้นลงเหมือนกับที่หลายๆคนชอบทำกัน  แฮนด์ที่แคบจะให้ความรู้สึกที่ ดีในทางตรงและขณะใช้ความเร็วสูง  แต่แฮนด์ที่กว้างนั้นจะช่วยให้การบังคับควบคุมรถ ที่ความเร็วต่ำหรือในทางทรายได้ดีกว่า       เพราะว่าปลอกแฮนด์ของเสือภูเขามีความยาวมากพอที่เราจะเคลื่อนมือที่จับเข้าด้าน ในหรือออกด้านนอกได้ตามความเหมาะสมของสถานะการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ผมจึงไม่ เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปหั่นแฮนด์ให้สั้นลงจากเดิม ยกเว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนที่มี ความกว้างของไหล่แคบมากๆ  หรือชอบที่จะใช้เสือภูเขาปั่นความเร็วทางเรียบ มากกว่า จะเอาไปใช้ในทางoffroad (เนื่องจากสู้ราคาเสือหมอบไม่ไหว ,เสือหมอบระดับกลางๆ จะมีราคาใกล้เคียงกับเสือภูเขาคุณภาพดีๆเลยทีเดียว)
         จักรยานสำหรับผู้หญิง
    โดยเฉลี่ยแล้ว  ผู้หญิง
    • ตัวเตี้ยกว่า
    • ช่วงแขนสั้นกว่า
    • มือเล็กกว่า
    • สะโพกกว้างกว่า
    • ช่วงไหลแคบกว่าผู้ชาย
         ความแตกต่างกันทางสรีระเหล่านี้ ค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับผู้หญิงในการ
เลือกและปรับแต่งจักรยานให้ลงตัว ทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่สามารถใช้จักรยานที่มีขายในท้อง
ตลาดได้อย่างสบายนัก แต่น่าดีใจที่ในปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตจักรยานหลายยี่ห้อได้เอาใจผู้หญิง
มากขึ้น เช่นTrekได้ผลิตจักรยานในรุ่นWSD(Woman's Specific Design) โดยออกแบบ
รถให้มีลักษณะสอดคล้องกับสรีรของผู้หญิงมากที่สุด
    รถที่ออกแบบมาสำหรับผู้หญิงนั้น
    • จะมี ท่อบนสั้น มุมท่อคอมีความลาดเอียงมากขึ้น
    • คอจะสั้นและเชิด ร่วมกับเพิ่มความยาวของท่อคอ ( เพื่อเพิ่มความสูงของแฮนด์ )
      เป็นการชดเชยช่วงแขนที่สั้น ทำให้ผู้หญิงสามารถเอื้อมจับแฮนด์ได้สะดวกขึ้น
    • มุมท่อนั่งที่ชันขึ้น ทำให้การถีบบันไดสะดวกขึ้น
    • ทำปลอกแฮนด์บาง เพื่อให้สามารถกำได้สะดวก
    • ลดความกว้างของแฮนด์ลงมาเพื่อรับกับช่วงไหล่ที่แคบ
    • ให้เบาะที่กว้างและนุ่มเพื่อสะโพกที่กว้าง เป็นต้น

    ข้อสรุปง่ายๆ
  • ถ้าคุณเลือกรถได้ถูกขนาดกับตัวคุณเอง อะไรๆมันก็จะง่ายไปหมด   หลักการเรื่องระยะ
    ปลอดภัยยังคงใช้ได้เสมอ เพราะผู้ผลิตเสือภูเขาจะเล็งเรื่องความปลอดภัยไว้เป็นพื้นฐาน
    หลักของการออกแบบรถเสมอ ( ยกเว้นกรณีที่ช่วงขาของคุณสั้นมาก หรือยาวมากผิดกับ
    คนอื่นเขา )

  • ถ้าต้องเลือกระหว่างรถที่เล็กกว่าคุณไปนิดกับใหญ่กว่าคุณไปหน่อย ผมมีข้อแนะนำอยู่
    2 ข้อ คือ
    • หายี่ห้อใหม่ที่มีขนาดพอดีกับตัวเราโดยไม่ต้องคร่อมsize หรือ
    • ถ้าตัดใจจากยี่ห้อนั้นไม่ได้ ให้เลือกคันที่เล็กกว่าด้วยเหตุผลที่บอกไว้แล้ว  แล้ว
      ปรับเปลี่ยนคอ หรือปรับความสูงของแฮนด์ให้พอดีกับตัวของเรา

  • อย่ายึดติดกับทฤษฎีของฝรั่งมากนัก พื้นฐานของร่างกายที่แตกต่างกันนั้น ทำให้อะไร
    ต่อมิอะไรมันไม่ค่อยจะคล้ายกันเท่าที่เราคิดว่ามันเป็น
ที่มา http://www.bikeloves.com/trick/trick02.shtml

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำแนะนำสำหรับการฝึกปั่นจักรยาน

คำแนะนำสำหรับการฝึกปั่นจักรยาน

จักรยานของคุณมีกี่เกียร์ลืมไปก่อนเลย ใช้เกียร์ที่แนะนำให้ไปก่อน อย่าเพิ่งเล่นเกียร์

เวลาขี่ให้หลังตรงอยู่เสมอ แล้วโน้มตัวไปหาแฮนด์ด้วยการใช้สะโพกเป็นจุดหมุน อย่าให้หลังค่อม

ดื่มน้ำทุก 15 นาที น้ำหนึ่งกระติก (เล็ก) ควรจะหมดในเวลาหนึ่งชั่วโมง

เพื่อป้องกันอาการเดินขาถ่าง ถ้าหาวาสลินได้สะดวก ก็จัดการทาให้ทั่วขาหนีบ แล้วค่อยใส่กางเกง


บทเรียนที่1
ใช้ นาฬิกาตั้งเวลาไว้15นาที แล้วก็ขี่จักรยานออกไปเรื่อยๆ ครบ15นาทีตรงไหนก็ขี่กลับเส้นทางเดิม ถ้าไม่แวะไปที่ไหนก็จะใช้เวลาขี่ราวๆครึ่งชั่วโมงพอดี เราจะใช้เวลาบนจักรยานวันละครึ่งชั่วโมงนี้ประมาณ 4-6 วันติดๆกันเลยก็ดี แต่หลังจากหมด 4-6 วันแรกนี้แล้วขอบังคับให้หยุดขี่ เอาโซ่ล่ามจักรยานไว้เลย 1-2 วันเพื่อเป็นการพักร่างกาย

หลักการปั่นจักรยาน
ตาม สูตรที่ฝึกต้องซอยขากันเร็ว 80 รอบ/นาที วิธีหัดก็คือขี่จักรยานด้วยเกียร์ต่ำ (ออกแรงขาน้อย แต่จักรยานไม่ค่อยวิ่ง ถ้าจักรยานของคุณมีเลขบอกเกียร์ที่มือสับเกียร์ ก็ลองปรับให้มือสับข้างซ้ายอยู่เลข 2 มือสับข้างขวาอยู่เลข 3) ขี่จักรยานด้วยความเร็วพอสมควร แล้วเริ่มจับเวลา (ด้วยนาฬิกาข้อมือ, มาตรวัดความเร็วที่ติดจักรยาน)

ใช้หัวเข่าขวาเป็นหลัก ทุกครั้งที่เข่าขวาขึ้นมาสุดก็ให้นับ 1 ขึ้นมาสุดอีกครั้งนับ2 ไปเรื่อยๆ จนครบ 15 วินาที นับได้กี่ครั้งก็คูณด้วย 4 จะได้จำนวนครั้งต่อนาทีที่ขาเราปั่นจักรยาน ดูว่าถ้าเกิน 80 ก็ชะลอขาลงหน่อยแล้วก็นับใหม่อีก 15 วินาที หรือน้อยกว่า80ก็ซอยขาปั่นเร็วขึ้นอีกหน่อยแล้วก็นับใหม่อีก 15 วินาที ลองจนกว่าจะนับเข่าขวาขึ้นมาสุดได้ 20 ครั้งใน 15 วินาที(ก็เท่ากับ 80 รอบต่อนาที) ก็ให้ปั่นด้วยความเร็วคงที่ขนาดนั้นไปให้ตลอดโดยไม่มีการเปลี่ยนเกียร์ ถ้าใครไม่มีมาตรวัดความเร็วติดจักรยานก็คอยเช็คด้วยการจับเวลานับหัวเข่า อยู่เรื่อยด้วย เพราะหัดปั่นขาเร็วขนาดนี้สำหรับคนไม่เคยจะบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า “เหนื่อยจัง” แล้วก็จะผ่อนความเร็วลงไปเพราะความไม่ชิน(ซึ่งเป็นกันทุกคน โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรกนี้) แต่เชื่อไหมว่าคนที่ใช้หลักสูตรนี่ เดี๋ยวนี้ปั่นกันเป็นปรกติที่ 85-90 รอบต่อนาทีกันทุกคน โดยไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยหรือเร็วไปซักคนเลย ขอให้ตั้งใจทำความเคยชินกับการซอยขาที่ 80 รอบต่อนาทีนี้ให้ได้นะเพราะสำคัญมาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ถ้าตั้งใจก็จะคุ้นเคยในเวลาแค่ไม่เกินสัปดาห์ ขาเราก็จะเคยชินกลายเป็นความจำโดยอัตโนมัติ คราวนี้แทบไม่ต้องนับหัวเข่ากันเลย

การปฏิบัติบทเรียนที่1
1.เลือก ใช้เกียร์ให้ถูกต้อง(มือสับเกียร์ข้างซ้ายเลข2-จานกลาง/มือสับเกียร์ข้างขวา เลข2หรือ3) แล้วก็ใช้เกียร์นั้นไปตลอดโดยไม่มีการเปลี่ยนเกียร์

2.ปั่น ขาที่80รอบต่อนาทีให้ตลอดเวลา โดยไม่มีการฟรี หรือ หยุดรถ(ถ้าไม่จำเป็น)จนกว่าจะครบเวลา (ในสัปดาห์แรกนี้ก็คือครึ่งชั่วโมง) หัดปั่นในทางราบ ไม่มีเนินเขา จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ สามารถปั่นขาที่ความเร็วคงที่,ออกแรงได้คงที่ ได้ตลอดเวลา ออกไปฝึกปั่นแต่ละครั้งอย่าใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงสำหรับสัปดาห์แรกนี้ ถ้าระบมเดี๋ยวจะฝึกขี่กันได้ไม่ต่อเนื่อง
ให้เวลาในการฝึกช่วงแรกนี้ 4-6 วัน ถ้าสามารถฝึกติดต่อกันได้ทุกวันจะทำให้ร่างกายชินกับจักรยานได้เร็วขึ้น จากนั้นพักการฝึก 1-2 วันโดยไม่มีการขึ้นขี่จักรยานเลย เป็นการจบการฝึกในช่วงแรก

3.สัปดาห์ที่สองใช้เกียร์เดิม ปั่นขาที่ 80 รอบ/นาทีเท่าเดิม แต่เพิ่มเวลาในการขี่เป็นวันละไม่เกิน 1 ชม.(อย่าน้อยกว่า 45 นาที คงจะเจียดเวลาได้) ฝึก 4-6 วันเหมือนเดิม แล้วก็หยุดพัก 1-2 วัน เป็นอันจบบทเรียนที่หนึ่ง

บทเรียนที่2
ผ่าน การฝึกมา 2 ยกแล้ว ถึงตอนนี้ร่างกายของแต่ละคนก็ควรจะชินกับท่าทางในการปั่นจักรยานกันแล้ว ระบบการทำงานต่างๆในร่างกายก็ควรจะดีขึ้นด้วย กล้ามเนื้อขาที่ใช้ในการปั่นขาจาน(หรือถีบลูกบันได)ก็ได้รับการโปรแกรมให้ ปั่นที่ความเร็วรอบสูงแล้ว คราวนี้เรามาเริ่มออกกำลังกันจริงๆล่ะ ที่ผ่านมาสองสัปดาห์นั่นแค่อุ่นเครื่องเท่านั้นเอง

หัดใช้เกียร์
ผ่าน โปรแกรมฝึกแล้วคราวนี้เล่นไม่ยาก เพราะขาเราจะชินกับการปั่นที่ 80 รอบ/นาทีกันแล้ว ก็ยึดรอบขานี้ไว้เป็นหลัก ไม่ว่าเราจะอยู่ที่เกียร์ไหน-ความเร็วเท่าไร ก็ให้รักษารอบการปั่นไว้เท่านี้เสมอ

แล้วจะใช้ยังไงบ้าง? ก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการทำงานของอุปกรณ์ติดจักรยานของเรากันก่อน มาดูกันที่มือสับเกียร์ทั้งข้างซ้ายและขวา ตัวเลขน้อยคือเกียร์ที่ใช้กับความเร็วต่ำ(แต่ใช้แรงน้อย) ตัวเลขมากใช้กับความเร็วสูง(แต่ต้องออกแรงมาก) มือสับข้างขวาจะใช้ในการเปลี่ยนแนวโซ่ไปยังเฟืองขนาดต่างๆที่ล้อหลัง เฟืองเล็กคือเกียร์สูง(ตัวเลขมาก-ต้องออกแรงมาก) เฟืองใหญ่คือเกียร์ต่ำ(ตัวเลขน้อย-ออกแรงน้อย) การเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวานี้จะให้ความเร็วในแต่ละเกียร์ไม่กระโดดต่างกัน มาก ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์ในการขับขี่โดยทั่วไปแล้วเราจะใช้มือขวานี้เป็นหลัก

มือเกียร์ขวา
เรา จะเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวาตามความเร็วของจักรยาน เช่น จากหยุดอยู่กับที่เริ่มออกตัวก็ควรจะใช้เกียร์1 พอขี่ไปหน่อยเริ่มมีความเร็วก็เปลี่ยนเป็นเกียร์2 เร็วขึ้นอีกก็เปลี่ยนเป็นเกียร์3 ไปเรื่อยๆ เวลาลดความเร็วลงมาก็ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงมาด้วยเช่นกัน จนรถหยุดก็จะอยู่ที่เกียร์1 เหมือนตอนเริ่มต้นขี่ แต่เวลาใช้งานจริงๆแล้วเกียร์หนึ่งนี่จะเบามากเกินไป เรามักจะเริ่มออกรถกันที่เกียร์สอง หรือ สาม กันมากกว่า

เรื่องที่ ต้องจำตรงนี้คือระบบเกียร์ของจักรยานส่วนใหญ่จะทำงานต่อเมื่อมีการขับโซ่ให้ หมุนไปข้างหน้าเท่านั้น เวลาชะลอความเร็วแล้วต้องเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ต่ำก็ให้ปั่นบันไดเดินหน้าไป ด้วย

มือเกียร์ซ้าย
มือสับเกียร์ข้างซ้ายจะเปลี่ยนแนวโซ่ไปยังจาน โซ่ซึ่งมี 3 ขนาด เล็ก-กลาง-ใหญ่ จากขนาดที่ต่างกันมากนี้ทำให้ความเร็วของแต่ละเกียร์ต่างกันมากด้วย การที่จะเลือกใช้จานโซ่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นทางที่เราจะไป เช่น
จานเล็ก(เกียร์หมายเลข 1) ใช้ในทางที่ไปได้ด้วยความเร็วต่ำแต่ต้องการกำลังมากๆ ช่วงขึ้นเขา หรือ ลุยโคลนลึกๆ

จานใบกลาง(เกียร์หมายเลข2) สภาพ ทั่วๆไปเราก็จะใช้ เป็นหลัก

จานใหญ่(เกียร์หมายเลข3) ใช้ช่วงที่ต้องการความเร็วสูง เช่น ตอนลงเขา และสำหรับทางในป่า

ถ้า ใครใช้รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็ให้นึกง่ายๆว่าจานเล็กสุดก็คือเกียร์ 4L จานกลางก็คือเกียร์ 4H หรือ Full Time 4WD ส่วนจานใบใหญ่ก็คือเกียร์ 2H นั่นแหละค่ะ ใช้เหมือนกันเลยทีเดียวแหละ

การปฏิบัติบทเรียนที่2
เริ่มด้วยการใช้จานโซ่ขนาดกลาง (มือสับเกียร์ข้างซ้ายชี้เลข2) มือสับข้างขวาชี้เลข2เช่นกัน เราจะใช้แต่เกียร์ที่มือขวาเท่านั้น

มือสับเกียร์ข้างซ้ายปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ต้องไปยุ่งอะไร

ออก รถปั่นไปจนกว่าขาจะซอยอยู่ที่ 80 รอบ/นาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเกียร์ที่มือขวาเป็นเกียร์3 รอบขาของเราจะตกลงมาต่ำกว่า 80 รอบต่อนาที เร่งซอยขาจนได้ 80 รอบ/นาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์4 รอบขาจะต่ำกว่า 80 รอบอีกแล้ว เร่งซอยขาจนได้ 80 รอบต่อนาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์5 พยายามซอยขาขึ้นมาที่ 80 รอบ/นาทีอีก แล้วคงความเร็วขนาดนั้นไว้ซักพัก ถึงตรงนี้คุณจะมีทางเลือก 3 ทาง

1. คุณยังมีแรงเหลือเฟือแล้วก็อยากไปเร็วขึ้นอีก ก็เปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้นได้เรื่อยๆ

2. คุณอยากปั่นด้วยความเร็วขนาดนี้แหละ ก็รักษารอบขาไว้ประมาณนี้

3. คุณรู้สึกเหนื่อยและต้องออกแรงที่ขามาก ก็ให้ลดเกียร์ต่ำลงมาหนึ่งเกียร์ และพยายามคงรอบขาไว้แถวๆ 80 รอบ/นาที

ใช้ วิธีซอยขาให้ได้ประมาณ 80-90 รอบ/นาทีนี้ แล้วถามความรู้สึกของขาคุณเองว่าเกียร์ที่ใช้อยู่นั้นหนักไป(ใช้เกียร์สูง ไป) หรือ เบาไป(ใช้เกียร์ต่ำไป) แล้วก็เปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงทีละ 1 เกียร์ให้พอดีกับแรงขา
ดื่มน้ำทุก 10-15 นาที พอ1/2 ชม.ก็จอดพักซักหน่อย แล้วก็เริ่มปั่นกลับบ้าน

การ ฝึกในช่วงสัปดาห์ที่3นี้ พยายามใช้เวลาให้ได้ 60-90 นาที/วัน ครบ 4-6 วันแล้วก็อย่าลืมพักเต็มๆอีกวันก่อนการฝึกในช่วงที่4ด้วย ฝึกความชำนาญในการเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวานี้ให้คล่องในทุกๆเกียร์

คำแนะนำสำหรับการหัดใช้เกียร์

มือสับเกียร์ข้างซ้ายอย่าเพิ่งไปเล่น ใช้สมาธิกับการใช้เกียร์ที่มือขวาก็พอแล้ว

พยายาม ใช้ให้หมดทุกเกียร์(มือขวา) จับความสัมพันธ์ของเกียร์กับความเร็วในแต่ละเกียร์ และกับแรงที่ต้องใช้ รักษารอบขาให้อยู่ในช่วง 80-90 รอบ/นาทีตลอดการฝึก

จะเลือกใช้เกียร์ไหนก็ให้ถามขาของคุณเอง ว่าเบาไป หรือ หนักไป
เวลาเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้งให้ผ่อนแรงถีบบันไดลง แต่อย่าหยุดปั่น จะทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลขึ้น

อย่าเพิ่งขึ้นเขา รอให้ฝึกสำเร็จก่อน

บทเรียนที่3
เรา มาลองใช้มือสับเกียร์ข้างซ้ายกันบ้าง ขาของแต่ละคนก็น่าจะมีแรงพอจะปั่นด้วยจานโซ่ใบใหญ่สุดได้สบายๆ ช่วงนี้เราจะค่อนข้างฟรีสไตล์ ขอให้คุณๆทำความรู้จักกับจักรยานเสือภูเขาของคุณให้ได้มากที่สุด เวลาในการขี่ในแต่ละวันไม่จำกัด ขออย่าน้อยกว่า 90 นาทีเป็นใช้ได้

การปฏิบัติบทเรียนที่3

ปั่น จักรยานด้วยความเร็วพอสมควรในเกียร์ 3 หรือ 4 แล้วใช้มือซ้ายเปลี่ยนเกียร์จาก 2 ไป 3 ผ่อนแรงถีบบันไดเล็กน้อย สังเกตดูรอบขาด้วยนะคะว่าตกมาเยอะแค่ไหน ลองซอยขาขึ้นไปที่ 80-90 รอบ/นาทีลองเปลี่ยนเกียร์ที่มือขวาให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ออกแรงปั่นเยอะหน่อย ดูว่าที่เกียร์สูงสุดนั้นคุณจะยังปั่นขาที่ 80 รอบ/นาทีได้มัย ?

ถ้า ได้-นานแค่ไหน ? ก่อนจะหมดแรง ลองเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำดูบ้าง เปลี่ยนเกียร์ไปที่เลข1 ทั้งสองข้าง ชะลอความเร็วลงมาจนเกือบหยุด ลองปั่นขาดู ลองเกียร์ให้ครบทุกตำแหน่งว่ารู้สึกอะไรบ้าง การเปลี่ยนเกียร์ยาก-ง่ายแค่ไหน? การออกแรงขาเป็นอย่างไร? เลี่ยงภูเขา ดื่มน้ำ พักผ่อน เหมือนที่เคยฝึกกันมา

เมื่อจบช่วงที่สี่นี้ก็เท่า กับว่าคุณๆทั้งหลายได้ปูพื้นฐานที่ดีสำหรับการเป็นนักเล่นจักรยานเสือภูเขา อย่างเต็มตัวแล้วนะคะ คุณๆจะมีทักษะและกำลังขาในการปั่นจักรยานไปไหนๆได้สบาย ใครที่ติดมาตรวัดระยะทางไว้ด้วยก็ลองดูซิคะว่าคุณใช้ระยะทางไปทั้งหมดเท่า ไหร่ในการปูพื้นฐานให้ขาของคุณ และหลายๆคนที่ฝึกแบบเต็มที่ส่วนใหญ่จะได้ระยะทางมากกว่า 1,000กม. ในเวลาแค่เดือนเดียว! อย่าลืมว่าการฝึกขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องสำคัญมากในการก้าวขึ้นไปสู่ขั้นที่ สูงขึ้น อย่างใครที่เคยเรียนเทนนิสอย่างถูกต้องก็คงจำได้นะคะว่าต้องรำไม้เปล่าๆกัน อยู่ตั้งหลายนานกว่าจะได้ลงตีลูกจริงๆ หรืออย่างนักกอล์ฟก็ต้องหมั่นซ้อมวงสวิงกันอยู่ตลอด เพราะพื้นฐานที่ถูกต้องเหล่านี้แหละที่จะนำเราไปสู่การพัฒนาระดับฝีมือที่ สูงขึ้นค่ะ แต่ละอาทิตย์ถ้าไม่มีเวลาที่จะขี่จักรยานกันได้ทุกวัน ก็ขอให้ใช้วันหยุดของคุณไปในการปั่นจักรยานไกลๆ (มากกว่า 60กม.) ซักวัน เพื่อรักษาสภาพความพร้อมของร่างกายไว้ให้ได้มากที่สุด

ทำไมต้องซอยขาที่ 80 รตน.หรือมากกว่า ? เหตุผลมีหลายอย่าง

1.เพราะ ต้องการให้หัวเข่าปลอดภัยจากอาการบาดเจ็บ อย่าลืมว่าต้องปรับตำแหน่งและความสูงของเบาะให้ถูกต้องด้วยนะคะ เพราะถ้าหากปรับเบาะไม่ถูกต้องแล้ว การซอยขาเร็วก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก การปั่นซอยขาได้เร็วเป็นตัวชี้ว่าขาเราออกแรงไม่มากจนเกินไป แรงกดที่กระทำต่อกระดูกหัวเข่าชิ้นต่างๆจึงไม่มากนักด้วย การสึกหรอก็น้อยตาม และจากการตั้งตำแหน่งเบาะที่ถูกต้องกับรอบขาที่สูงโดยที่แรงกดไม่มากนี้จะทำ ให้ชิ้นส่วนต่างๆของหัวเข่าได้ขัดถูกันอย่างดี การเคลื่อนไหวของหัวเข่าก็จะราบลื่นตามไปด้วย

2.ลดหรือเลี่ยงอาการ บาดเจ็บ หรืออาการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของขา จากเหตุที่ว่าขาเราไม่ต้องออกแรงมากไงคะ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั้งหลายก็พลอยสบายไปด้วย ผลพลอยได้จากการที่กล้ามเนื้อไม่ต้องออกแรงเค้นมาก และการซอยขาที่สม่ำเสมอไม่มีการกระแทกกระทั้นเหมือนกีฬาอย่างอื่น ทำให้กล้ามเนื้อขาของนักจักรยานที่ฝึกตามสูตรนี้มีรูปทรงที่สวย ไม่ปูดโปนอย่างนักฟุตบอลหรือนักวิ่งแน่นอนค่ะ(สาวๆทั้งหลายสบายใจได้)

3.มา จากห้องวิจัยด้านกีฬา(ของฝรั่ง)ว่า การซอยขาปั่นจักรยานที่ 80-90 รตน.นี้เป็นช่วงที่เราได้ประสิทธิภาพโดยรวมจากร่างกามากที่สุด คือได้กำลังจากขามากแต่ขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อน้อย และการขจัดกรดแลคติคที่เป็นของเสียจากการออกกำลังของกล้ามเนื้อก็มีอัตราที่ สูง พูดง่ายๆว่าถ้าให้ใครซักคนทานอาหารที่ปริมาณเท่าๆกันแล้วปั่นจักรยาน การใช้รอบขา 80-90 รตน.นี้จะไปได้ไกลที่สุดก่อนจะหมดแรงหรือล้าจนปั่นไม่ไหว เมื่อเทียบกับการที่ใช้รอบขามากหรือน้อยกว่า

4.มาจากห้องแล็บ คือว่าการปั่นขาที่ 80-90 รตน.นี้จะสามารถเร่งความเร็วขาขึ้นไปที่รอบสูงได้ดีกว่าการปั่นขาที่รอบต่ำ กว่านี้ และสามารถส่งต่อเกียร์ที่สูงขึ้นได้ดีกว่า พูดง่ายๆว่าเร่งแซงได้เร็วขึ้นกว่าการปั่นขาที่รอบต่ำ ถ้าเทียบเป็นรถยนต์ก็ลองดูสิคะว่าจากความเร็ว 60 กม./ชม.ขึ้นไปที่ความเร็ว 100 กม./ชม.นั้น ถ้าใช้เกียร์สี่จะกินเวลาเท่าไหร่? แล้วลองใช้เกียร์สามที่ต้องใช้รอบสูงขึ้นจะใช้เวลาน้อยลงแค่ไหน พอจะเห็นภาพกันหรือเปล่าคะ?

5.เป็นการถนอมระบบขับเคลื่อนของจักรยาน คันเก่งของเราให้ทนขึ้น ซึ่งก็คล้ายกับเหตุผลข้อแรกนั่นแหละค่ะแต่มาประยุกต์ใช้กับจักรยานแทน แค่ห้าข้อนี่ก็น่าจะจูงใจให้มาหัด “ซอยยิกๆ” กันบ้างแล้วนะคะ
ทำไมต้อง ดื่มน้ำเยอะ?กีฬาจักรยานเป็นกีฬาที่มีอะไรแปลกๆหลายอย่าง คือเรื่องดื่มน้ำนี่แหละ คนที่ขี่จักรยานส่วนใหญ่ถ้าแดดไม่ร้อน หรือขี่อยู่แค่ใกล้ๆก็จะไม่ค่อยนึกถึงเรื่องกระหายน้ำกัน เหตุก็เพราะขณะที่เราขี่จักรยานฝ่าอากาศไปนั้น ลมที่มาปะทะตัวเราจะพาเหงื่อให้ระเหยไปอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่รู้สึกร้อน แล้วก็พลอยไม่กระหายน้ำไปด้วย ไม่เหมือนกีฬาอย่างอื่นที่เล่นอยู่กับที่และการเคลื่อนที่ผ่านอากาศก็ไม่ต่อ เนื่องเช่น เทนนิส บาสเกตบอล ฯลฯ ที่พอหยุดเคลื่อนไหวแล้วจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันที ก็เลยต้องหาน้ำดื่มคลายร้อนกันโดยอัตโนมัติ แต่อย่าลืมว่าขณะที่เราออกแรงปั่นจักรยาน ร่างกายก็ต้องเกิดความร้อนขึ้นเช่นกัน แล้วความร้อนนี้ก็ถูกควบคุมโดยน้ำในร่างกายที่ออกมาเป็นเหงื่อ เราจึงต้องทดแทนน้ำส่วนที่เป็นเหงื่อนี้ด้วยการดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปเช่นกัน ไม่เช่นนั้นหากเสียน้ำในรูปของเหงื่อหรือปัสสาวะมากเกินไปก็จะเกิดอันตราย ได้ ดังนั้นจึงควรฝึกดื่มน้ำในขณะขี่จักรยานให้เยอะๆไว้จนเป็นนิสัย

ทำไม ต้องมีวันหยุดพัก,ฝึกปั่นทุกวันไม่ได้หรือ? ก็มีหลายเหตุผลอีกแหละค่ะ หนึ่งคือเพื่อเป็นการปรับร่างกายให้เคยชินกับการฝึก จากการทดลองของฝรั่งเค้าพบว่า ถ้าตะบี้ตะบันฝึกทุกวันแล้ว อัตราการก้าวหน้าในการปรับตัวของร่างกายจะไม่ค่อยดี สู้ฝึกๆหยุดๆไม่ได้ ซึ่งจากการทดลองก็เลยพบเหตุที่สองคือสภาพที่เรียกว่า “โอเวอร์เทรนนิ่ง” (Overstraining) คือ อาการโทรมจากการฝึกซ้อมมากเกินไปสภาพนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายตกต่ำ ลงอีกต่างหาก และอาจเกิดอันตรายด้วยหากยังดันทุรังฝึกหนักต่อไป ไว้จะมาแจงรายละเอียดกันเมื่อมีโอกาสหรืออาจต้องขอความรู้จากนักวิชาการตัว จริงให้มาช่วยวิสัชนากันหน่อย

ผมเล่นจักรยานมานานแล้ว จำเป็นที่จะต้องมาเริ่มโปรแกรมปั่นพื้นฐานของมือใหม่นี้ด้วยหรือเปล่า?

โปรแกรม นี้มีจุดประสงค์ที่จะปูพื้นฐานที่ถูกต้องให้กับผู้ที่รักจะเล่นจักรยาน(ทุก ชนิด)ในแบบที่ถูกต้อง ก็ลองถามตัวคุณเองดูนะคะว่าคุณได้เริ่มต้นเล่นจักรยานมาอย่างถูกต้องหรือ เปล่า? โดยการดูว่า 1) ร่างกายของคุณปรับตัวเข้ากับจักรยานได้ดีหรือไม่? 2) ในการขี่จักรยานโดยปรกติคุณใช้รอบขาสูง 80-90 รตน.หรือไม่? 3) คุณใช้เกียร์ได้คล่องและถูกต้องหรือไม่? ถ้าคุณตอบ “ไม่ ” ตั้งแต่หนึ่งข้อขึ้นไปแล้วคุณอยากจะเล่นจักรยานให้ได้ดีไม่มีการบาดเจ็บจาก การออกกำลัง ก็คิดว่าคุ้มค่าที่คุณจะมาเริ่มฝึกใหม่ตามโปรแกรม
ขณะฝึกตาม โปรแกรม จะหยุดพักได้บ่อยแค่ไหน? หยุดพักได้เมื่อคุณขี่ได้ครึ่งหนึ่งของเวลาที่คุณตั้งใจจะขี่ค่ะ อย่างเช่นถ้าคุณอยู่ในช่วงแรกของบทเรียนที่หนึ่ง คุณก็จะหยุดพักได้เมื่อขี่ไปแล้ว 15 นาที แต่ในขณะที่ปั่นอยู่ใน15นาทีนั้น อย่าหยุดปั่นขาบ่อยหรือไม่ควรหยุดปั่นขาเลย (ยกเว้นในจุดที่ต้องชะลอความเร็ว เช่น ตามทางแยก หรือ ต้องเหล่หนุ่ม-เหล่สาว ฯลฯ) เพราะการซอยขาตลอดเวลาจะทำให้กล้ามเนื้อขาของเรา “จำ” การซอยขาที่ 80 รตน.นี้ได้เร็วขึ้น และทำให้ระบบการหายใจ, การเผาผลาญอาหาร ฯลฯ ของร่างกายทำงานได้คงที่ด้วยซึ่งจะเป็นผลดีต่อร่างกายของเราเองค่ะ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ ดังนั้น จงหยุดพักได้บ่อยเท่าที่คุณอยากจะพักนั่นแหละค่ะ ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าตัวคุณเองหรอก

ที่มา http://thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=60&t=342295