Contact
เก็บเรื่องราวเอามาแบ่งปัน คุยกันแบบกันเอง Contact me: thoshiro @live.com or thoshiro007 @gmail.com
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Bike and DIY แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Bike and DIY แสดงบทความทั้งหมด
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ทำความสะอาดโซ่แบบมือไม่ดำครับ
1. เอาน้ำมันอเนกประสงค์ WD-40 ฉีดไปที่โซ่ บริเวณที่วางอยู่บนเฟืองหลัง แล้วหมุนจานถอยหลัง ให้ชุ่ม แต่ไม่เยิ้มมากนัก
2. สละผ้าที่ไม่ดำมาก หุ้มไปที่ โซ่ ด้านล่าง แล้วหมุนจานถอยหลัง กำให้กระชับ ไม่แน่นไม่หลวมเพื่อเช็ดความสกปรกที่น้ำมันไล่ออกมา
3. ปรับสับจานหน้าให้อยู่ตำแหน่ง จานใหญ่ แล้วเอาผ้าลูบ เช็ดโซ่บนใบจานเลย เช็ดจนโซ่ ขาวใสปิ๊ง รวมทั้งลูกกลิ้งตีนผี และใบจานด้วย เอาออกให้เห็นตัวลูกกลิ้งและฟันใบจานเหมือนของใหม่ ถ้ายังมีคราบฝุ่น ผสมน้ำมัน ยังใช้ไม่ได้
4. ทุกขั้นตอน ระวังมือเปื้อนนะครับ
5. หยอดน้ำมันที่เป็น teflon ลงตามข้อ หรือลิงค์ข้อต่อ แล้วหมุนจานให้มันวิ่งเข้าไปเคลือบจนทั่ว แล้วเช็ดออกบางๆ ให้มองดูใหม่ สะอาด แค่นี้ก็ลื่นปื๊ด ใสปิ๊ง ยืดอายุการใช้งานได้อีกนานเลยครับ มือไม่เปื้อนด้วย (ถ้าไม่ใช้ผ้าดำๆ)
ปล. น้ำมัน WD-40 ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นนะครับ แต่จะเป็นน้ำมันล้างคราบสกปรกได้ดีกว่า โซแน๊ค คือมันวิ่งซอกซอนได้เร็วกว่า และความหนืดน้อยกว่า ไม่ควรใช้ฉีดเพื่อหล่อ ลื่น โซ่จะดำ แต่น้ำมัน teflon จะมีคุณสมบัติเคลือบจุดหมุนได้ดีกว่า และไม่แตกตัวเป็นเม็ดละอองดำๆ อยากทราบว่ามันแตกต่างอย่างไร ลองเอาน้ำมันจักร ซิงเกอร์ หยอดดูครับ รับรอง ทั้งรองเท้า ขอบล้อ จะเป็นเม็ดดำๆ พอเช็ดปุ้ป เลอะไม่เลือนเลยล่ะครับ (Finish line ขวดแดง เป็นเทฟลอน จะแห้งๆ ไปนิดแต่ะสะอาด ขวดเขียว wet lubricant ครับ แจ่ม มากๆ)
ปล.2 เบนซิน โซ่ฝืด โซล่า โซ่ยืด เหมาะสำหรับงานหนักรอบต่ำ พวกจี๊ดๆ อย่างเรา ไม่ควรใช้และควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งครับ แถมมือดำและเหม็นอีกต่างหาก

2. สละผ้าที่ไม่ดำมาก หุ้มไปที่ โซ่ ด้านล่าง แล้วหมุนจานถอยหลัง กำให้กระชับ ไม่แน่นไม่หลวมเพื่อเช็ดความสกปรกที่น้ำมันไล่ออกมา
3. ปรับสับจานหน้าให้อยู่ตำแหน่ง จานใหญ่ แล้วเอาผ้าลูบ เช็ดโซ่บนใบจานเลย เช็ดจนโซ่ ขาวใสปิ๊ง รวมทั้งลูกกลิ้งตีนผี และใบจานด้วย เอาออกให้เห็นตัวลูกกลิ้งและฟันใบจานเหมือนของใหม่ ถ้ายังมีคราบฝุ่น ผสมน้ำมัน ยังใช้ไม่ได้
4. ทุกขั้นตอน ระวังมือเปื้อนนะครับ
5. หยอดน้ำมันที่เป็น teflon ลงตามข้อ หรือลิงค์ข้อต่อ แล้วหมุนจานให้มันวิ่งเข้าไปเคลือบจนทั่ว แล้วเช็ดออกบางๆ ให้มองดูใหม่ สะอาด แค่นี้ก็ลื่นปื๊ด ใสปิ๊ง ยืดอายุการใช้งานได้อีกนานเลยครับ มือไม่เปื้อนด้วย (ถ้าไม่ใช้ผ้าดำๆ)
ปล. น้ำมัน WD-40 ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นนะครับ แต่จะเป็นน้ำมันล้างคราบสกปรกได้ดีกว่า โซแน๊ค คือมันวิ่งซอกซอนได้เร็วกว่า และความหนืดน้อยกว่า ไม่ควรใช้ฉีดเพื่อหล่อ ลื่น โซ่จะดำ แต่น้ำมัน teflon จะมีคุณสมบัติเคลือบจุดหมุนได้ดีกว่า และไม่แตกตัวเป็นเม็ดละอองดำๆ อยากทราบว่ามันแตกต่างอย่างไร ลองเอาน้ำมันจักร ซิงเกอร์ หยอดดูครับ รับรอง ทั้งรองเท้า ขอบล้อ จะเป็นเม็ดดำๆ พอเช็ดปุ้ป เลอะไม่เลือนเลยล่ะครับ (Finish line ขวดแดง เป็นเทฟลอน จะแห้งๆ ไปนิดแต่ะสะอาด ขวดเขียว wet lubricant ครับ แจ่ม มากๆ)
ปล.2 เบนซิน โซ่ฝืด โซล่า โซ่ยืด เหมาะสำหรับงานหนักรอบต่ำ พวกจี๊ดๆ อย่างเรา ไม่ควรใช้และควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งครับ แถมมือดำและเหม็นอีกต่างหาก
โดย คุณตั้ม "SPINBIKE"
วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554
อะไหล่ MTB สำหรับเสือทางเรียบ
กระโหลกแบบลูกปืนพวง มีบางคันที่ใช้กระโหลกแบบนี้ แล้วผมไม่ได้เปลี่ยนเป็นกระโหลกแบริ่ง
มีบางท่านสงสัยว่ามันเป็นรุ่นโบราณแล้วก็มีหลายท่านไปเปลี่ยนออก ใส่เป็นแบริ่ง
ผมขอเตือนว่า ถ้าเป็นกระโหลกแบบนี้แล้วผมไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบริ่ง เพราะว่า..
สภาพของมันยังสมบูรณ์อยู่ และกระโหลกแบบนี้มีความลื่นไหลสูงกว่าแบบแบริ่ง
แม้กระทั้งแบริ่งเบอร์ XT ก็ตาม ก็ยังลื่นไหลสู้กระโหลกแบบนี้ไม่ได้
เพราะฉะนั่นคันไหนที่เป็นกระโหลกแบบนี้ท่านอย่าไปเปลี่ยนนะครับ
เพราะผมพิจารณาดูแล้วว่ามันดีกว่าแบริ่งครับ ยกเว้นว่ามันเสียผมถึงเปลี่ยนมาเป็นแบริ่ง
ยางkojak ที่ผมใส่ทดสอบอยู่เวลานี้ ความนิ่มแบบแน่นๆ ดึ๋งดั๋ง ไม่โย้ เกาะหนึบ นั่นถึอว่า
ดีมากครับ อย่าไปมองว่ายางไม่มีดอกไม่เกาะถนนครับ ถ้าอากาศร้อน ขี่ไปสัก1ชม จะหนืดนิดหน่อยครับ
ส่วน KENDA 1.25 รุ่นเบานั้น ดีทุกอย่างยกเว้นเติมลมอ่อนเมื่อไหร่โดนเศษแก้วบาดยางรั่วง่าย
kojak ตั้งใจทับเศษขวดแตกยังเฉยครับ
แต่สำหรับยาง1.25 เวลานี้ใช้ maxxis columbiare ครับ ทดสอบผ่านทั้งทน ทั้งเร็ว
แต่แรงดันลมต้องไม่ต่ำกว่า90 psi ในกรณีใช้สูบเบโต้ BETO ครับ ถ้า70psi เจอเศษแก้ว
ก็เตรียมปะยางได้เลยครับ เพราะโครงสร้างยางเหมือนยางเสือหมอบ ถ้ายางแข็งโดนเศษแก้ว
จะสลัดออก
ถ้าพื้นฐานเสือภูเขาดี รอบดี ลักษณะรถแบบนี้ จาน42 เหมาะสมกว่าครับ
จาน42อัตราทดสุดท่าย 3.81
จาน48 อัตราทดสุดท้าย 3.69
จะใส่จานเล๊กใหญ่ ต้องดูที่พื้นฐานของคนขี่ครับ
ไม่ใช่ว่าจะใส่ จานเล็กจานใหญ่ตามใจเราครับ
รถที่ใช้ลงแข่งขันรายการจ้าวทางเรียบจอมบึง
คันที่ทำเวลา ดีที่ สุด 40 กม เวลา 1.03 ชมครับ
ใช้จาน 42 เช่นกันครับ
GROUP set9 SP
เฟืองหลังใช้เฟือง DEORE 9 ชั้น 11-34 สวมบนดุม ACERA ปี2010
ชุดล้อมีความลื่นไหล พุ่ง กว่า ชุดล้อ XT
ตีนผี ALIVIO ปี 2011 การทำงานเหมาะสมพอดีไม่ไวจนเกินไป แม่นยำดีมาก
มือเกียร์ ALIVIO ปี2011 คุณภาพเมื่อเทียบกับ group set tiagra ไม่ต่างกัน
ดุมหน้าคันนี้ ใช้ EXAGE ใหม่แต่ปี1993 ครับ
มีบางท่านสงสัยว่ามันเป็นรุ่นโบราณแล้วก็มีหลายท่านไปเปลี่ยนออก ใส่เป็นแบริ่ง
ผมขอเตือนว่า ถ้าเป็นกระโหลกแบบนี้แล้วผมไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบริ่ง เพราะว่า..
สภาพของมันยังสมบูรณ์อยู่ และกระโหลกแบบนี้มีความลื่นไหลสูงกว่าแบบแบริ่ง
แม้กระทั้งแบริ่งเบอร์ XT ก็ตาม ก็ยังลื่นไหลสู้กระโหลกแบบนี้ไม่ได้
เพราะฉะนั่นคันไหนที่เป็นกระโหลกแบบนี้ท่านอย่าไปเปลี่ยนนะครับ
เพราะผมพิจารณาดูแล้วว่ามันดีกว่าแบริ่งครับ ยกเว้นว่ามันเสียผมถึงเปลี่ยนมาเป็นแบริ่ง
ยางkojak ที่ผมใส่ทดสอบอยู่เวลานี้ ความนิ่มแบบแน่นๆ ดึ๋งดั๋ง ไม่โย้ เกาะหนึบ นั่นถึอว่า
ดีมากครับ อย่าไปมองว่ายางไม่มีดอกไม่เกาะถนนครับ ถ้าอากาศร้อน ขี่ไปสัก1ชม จะหนืดนิดหน่อยครับ
ส่วน KENDA 1.25 รุ่นเบานั้น ดีทุกอย่างยกเว้นเติมลมอ่อนเมื่อไหร่โดนเศษแก้วบาดยางรั่วง่าย
kojak ตั้งใจทับเศษขวดแตกยังเฉยครับ
แต่สำหรับยาง1.25 เวลานี้ใช้ maxxis columbiare ครับ ทดสอบผ่านทั้งทน ทั้งเร็ว
แต่แรงดันลมต้องไม่ต่ำกว่า90 psi ในกรณีใช้สูบเบโต้ BETO ครับ ถ้า70psi เจอเศษแก้ว
ก็เตรียมปะยางได้เลยครับ เพราะโครงสร้างยางเหมือนยางเสือหมอบ ถ้ายางแข็งโดนเศษแก้ว
จะสลัดออก
ถ้าพื้นฐานเสือภูเขาดี รอบดี ลักษณะรถแบบนี้ จาน42 เหมาะสมกว่าครับ
จาน42อัตราทดสุดท่าย 3.81
จาน48 อัตราทดสุดท้าย 3.69
จะใส่จานเล๊กใหญ่ ต้องดูที่พื้นฐานของคนขี่ครับ
ไม่ใช่ว่าจะใส่ จานเล็กจานใหญ่ตามใจเราครับ
รถที่ใช้ลงแข่งขันรายการจ้าวทางเรียบจอมบึง
คันที่ทำเวลา ดีที่ สุด 40 กม เวลา 1.03 ชมครับ
ใช้จาน 42 เช่นกันครับ
GROUP set9 SP
เฟืองหลังใช้เฟือง DEORE 9 ชั้น 11-34 สวมบนดุม ACERA ปี2010
ชุดล้อมีความลื่นไหล พุ่ง กว่า ชุดล้อ XT
ตีนผี ALIVIO ปี 2011 การทำงานเหมาะสมพอดีไม่ไวจนเกินไป แม่นยำดีมาก
มือเกียร์ ALIVIO ปี2011 คุณภาพเมื่อเทียบกับ group set tiagra ไม่ต่างกัน
ดุมหน้าคันนี้ ใช้ EXAGE ใหม่แต่ปี1993 ครับ
วิเคราะห์ Frame CrMo MTB ถึงปัจจัยต่างๆในการเซ็ทรถ
Darkar770 กว่าจะเป็นแบบนี้ ประกอบเสร็จแล้วตะเกียบไม่ได้
ทั้งท่าขี่ องศาและ ความพุ่ง ได้แต่ไหลลูกเดียว คอรถองศาเอียงเท ไหลเกินพอแล้ว
ก็เลยจัดการกับตะเกียบอีกหนึ่งอัน แล้วของเดิมแบบสวม อันใหม่แบบเกลียว
ต้องถอดเปลี่ยนถ้วยคอออกอีก เซทใหม่ หมดเวลาไปแล้วครึ่งวันครับ
ทั้งทีงานประกอบเสร็จไปแล้ว
ทั้งท่าขี่ องศาและ ความพุ่ง ได้แต่ไหลลูกเดียว คอรถองศาเอียงเท ไหลเกินพอแล้ว
ก็เลยจัดการกับตะเกียบอีกหนึ่งอัน แล้วของเดิมแบบสวม อันใหม่แบบเกลียว
ต้องถอดเปลี่ยนถ้วยคอออกอีก เซทใหม่ หมดเวลาไปแล้วครึ่งวันครับ
ทั้งทีงานประกอบเสร็จไปแล้ว
ก่อนประกอบอะไหล่เป็นแบบนี้ครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=283277
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
ระบบเกียร์ Shimano สำหรับ MTB
เรียงตามการใช้งานแต่ละประเภท ถูกไปแพง
เสือหมอบ road bike
Sora > Tiagra > 105 > Ultegra > Ultegra SL > DuraAce > DuraAce 7900
เสือภูเขาครอสคันทรี่ cross country
Deore > SLX > XT > XTR
ปั่นท่องเที่ยว trekking or touring
SIS > tourney > altus > alivio > LX
เสือในเมือง ไฮบริด city-comfort bike
Capreo > Nexave > Nexus > Cyber-Nexus > Alfine
บีเอ็มเอ็กซ์ BMX
DXR
เสือภูเขาออลเมาเท่น-ดิ่งโลก all mountain - downhill
Hone > Saint
เรียงตามราคาและคุณภาพครับ
1. Shimano Tourney (SIS)
เป็น เกียร์ที่ถูกที่สุด มีผลิดอยู่ไม่กี่ชิ้น คือมือเกียร์ เฟืองหลัง โซ่ สับจานหน้า ตีนผี มีผลิตตั้งแต่ 5 , 6 และ 7 เกียร์ (15,18,21 speed)
2. Shimano Altus
มีแค่ 7 เกียร์เท่านั้น (21 speed) ถือว่าเป็นเกียร์ในระดับต้นของจักรยานเสือภูเขาเลยทีเดียว และผลิตครบทั้ง 10 ชิ้น
3. Shimano Acera
เป็นเกียร์ระดับต้น ที่สูงกว่า Altus มีเกียร์สูงสุด 8 เกียร์ (24 speed) ไม่เน้นใช้งานหนัก
เหมาะกับการขี่เสือภูเขาแบบท่องเที่ยว
4. Shimano Alivio
เป็น เกียร์ระดับต้นที่สูงกว่า Acera มีเกียร์สูงสุด 8 เกียร์ ใช้งานหนักได้ดีพอควร (ใหม่ๆ)
เหมาะกับการขี่เสือภูเขาแบบท่องเที่ยวตามป่าเขา
5. Shimano Deore
เป็นเกียร์ระดับ กลาง หรือ 9 เกียร์ระดับต้น ใช้งานได้ดีในทุกพื้นที่ และใช้เข้าแข่งขันได้ จานหน้าของ Deore จะเป็นหมุดดันโซ่ ซึ่งดีกว่าที่ใช้ปั้มขึ้นรูปที่สึกหรอได้ง่าย
6. Shimano SLX
เป็น เกียร์ระดับสูงที่ใช้กับการแข่งขัน หรือขี่ในสภาพลุยๆ ใช้งานหนักปานกลาง มี 9 เกียร์ ชิ้นส่วนของเกียร์เน้นที่ความแข็งแรง ความนุ่มนวลในการเข้าเกียร์ น้ำหนักที่เบาลง วัสดุที่ใช้ทำเกียร์ LX จะแข็งแรงขึ้น แต่น้ำหนักลดลง
7. Shimano Deore XT
เป็นเกียร์ระดับ แข่งขัน ที่พัฒนามาเพื่อการแข่งขันที่ใช้งานหนัก ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น คงทนมากขึ้น และนำหนักจะเบาขึ้น การขึ้นรูปวัสดุจะมีความละเอียดมากขึ้น สามารถเข้าเกียร์ได้นุ่มนวลและเร็วมาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการจักรยานที่ใช้ลุยแบบหนักๆ
8. Shimano XTR
ชุด เกียร์ระดับ Top สุดซึ่งทำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเกียร์ และน้ำหนักที่เบาลง โดย XTR นี้จะ Design ขึ้นมาเป็นพิเศษ สำหรับการแข่งขัน เพราะมีการขึ้นรูปที่ละเอียดมาก วัสดุที่ใช้ก็เป็นเกรดที่แข็งแรงมาก
ที่มา http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=59&t=93760 (ผมแก้ไขให้อัพเดท)
หัวข้อ: ขอความรู้หน่อยคับ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?p=2078209#p2078209]
["ณ.หนุ่ม@บางบัวทอง"]
อยากจะบอกเจ้า STX เนี่ย ถ้าถอยหลังไปสมัยก่อน มันเทียบเท่ากับ Deore ในปัจจุบันเลยนะครับ เพราะว่าสมัยก่อนนั้นอะไหล่ของ Shimano ในเกรดมาตรฐาน จะแบ่งเป็นรุ่นดังนี้ครับ
Deore, Deore LX, Deore DX, Deore XT และภายหลังมาเพิ่ม XTR ซึ่งไม่ใช่ Deore Series ครับ
และหลังจากนั้นมาก็เปลี่ยนเป็น Altus, STX, Deore LX, Deore XT และ XTR
และก็มาเป็น Altus, STX, STX RC (IG System), Deore LX, Deore XT, XTR
และก็มาเป็น Altus, Deore, Deore LX, Deore SLX, Deore XT, XTR
ซึ่งเมื่อมามองแล้ว ก็ต้องบอกว่าต้องดูด้วยว่าเป็น STX รุ่นไหนครับ ถ้ารุ่นแรก ก็ถือว่าไม่ขี่เหร่อะไรครับ แต่ถ้ารุ่นสองก็จะเป็นรอง RC อยู่นิดหน่อย แต่การใช้งานไม่แตกต่างครับ
ผมเองก็ใช้ดุม STX RC ในรถ Challenger ครับ ซึ่งใช้งานได้ดีทีเดียวครับ
อ้า...พอดีพึ่งจะเห็นว่าเป็นรถปี 98 ถ้าอย่างนั้นจะเป็นรอง STX RC อยู่เล็กน้อยครับ แต่ความนิ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์แทบไม่รู้สึกครับ และที่สำคัญ STX RC ไม่ได้เริ่มต้นในปี 1999 นะครับ มีก่อนหน้านั้นแล้วครับ แต่ผมคิดว่าปี 95 ครับ เพราะว่ารถ Challenger ผมประกอบเมื่อช่วงปี 95-96 ผมก็ใช้ STX RC แล้วครับ
เสือหมอบ road bike
Sora > Tiagra > 105 > Ultegra > Ultegra SL > DuraAce > DuraAce 7900
เสือภูเขาครอสคันทรี่ cross country
Deore > SLX > XT > XTR
ปั่นท่องเที่ยว trekking or touring
SIS > tourney > altus > alivio > LX
เสือในเมือง ไฮบริด city-comfort bike
Capreo > Nexave > Nexus > Cyber-Nexus > Alfine
บีเอ็มเอ็กซ์ BMX
DXR
เสือภูเขาออลเมาเท่น-ดิ่งโลก all mountain - downhill
Hone > Saint
เรียงตามราคาและคุณภาพครับ
1. Shimano Tourney (SIS)
เป็น เกียร์ที่ถูกที่สุด มีผลิดอยู่ไม่กี่ชิ้น คือมือเกียร์ เฟืองหลัง โซ่ สับจานหน้า ตีนผี มีผลิตตั้งแต่ 5 , 6 และ 7 เกียร์ (15,18,21 speed)
2. Shimano Altus
มีแค่ 7 เกียร์เท่านั้น (21 speed) ถือว่าเป็นเกียร์ในระดับต้นของจักรยานเสือภูเขาเลยทีเดียว และผลิตครบทั้ง 10 ชิ้น
3. Shimano Acera
เป็นเกียร์ระดับต้น ที่สูงกว่า Altus มีเกียร์สูงสุด 8 เกียร์ (24 speed) ไม่เน้นใช้งานหนัก
เหมาะกับการขี่เสือภูเขาแบบท่องเที่ยว
4. Shimano Alivio
เป็น เกียร์ระดับต้นที่สูงกว่า Acera มีเกียร์สูงสุด 8 เกียร์ ใช้งานหนักได้ดีพอควร (ใหม่ๆ)
เหมาะกับการขี่เสือภูเขาแบบท่องเที่ยวตามป่าเขา
5. Shimano Deore
เป็นเกียร์ระดับ กลาง หรือ 9 เกียร์ระดับต้น ใช้งานได้ดีในทุกพื้นที่ และใช้เข้าแข่งขันได้ จานหน้าของ Deore จะเป็นหมุดดันโซ่ ซึ่งดีกว่าที่ใช้ปั้มขึ้นรูปที่สึกหรอได้ง่าย
6. Shimano SLX
เป็น เกียร์ระดับสูงที่ใช้กับการแข่งขัน หรือขี่ในสภาพลุยๆ ใช้งานหนักปานกลาง มี 9 เกียร์ ชิ้นส่วนของเกียร์เน้นที่ความแข็งแรง ความนุ่มนวลในการเข้าเกียร์ น้ำหนักที่เบาลง วัสดุที่ใช้ทำเกียร์ LX จะแข็งแรงขึ้น แต่น้ำหนักลดลง
7. Shimano Deore XT
เป็นเกียร์ระดับ แข่งขัน ที่พัฒนามาเพื่อการแข่งขันที่ใช้งานหนัก ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น คงทนมากขึ้น และนำหนักจะเบาขึ้น การขึ้นรูปวัสดุจะมีความละเอียดมากขึ้น สามารถเข้าเกียร์ได้นุ่มนวลและเร็วมาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการจักรยานที่ใช้ลุยแบบหนักๆ
8. Shimano XTR
ชุด เกียร์ระดับ Top สุดซึ่งทำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเกียร์ และน้ำหนักที่เบาลง โดย XTR นี้จะ Design ขึ้นมาเป็นพิเศษ สำหรับการแข่งขัน เพราะมีการขึ้นรูปที่ละเอียดมาก วัสดุที่ใช้ก็เป็นเกรดที่แข็งแรงมาก
ที่มา http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=59&t=93760 (ผมแก้ไขให้อัพเดท)
หัวข้อ: ขอความรู้หน่อยคับ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?p=2078209#p2078209]
["ณ.หนุ่ม@บางบัวทอง"]
อยากจะบอกเจ้า STX เนี่ย ถ้าถอยหลังไปสมัยก่อน มันเทียบเท่ากับ Deore ในปัจจุบันเลยนะครับ เพราะว่าสมัยก่อนนั้นอะไหล่ของ Shimano ในเกรดมาตรฐาน จะแบ่งเป็นรุ่นดังนี้ครับ
Deore, Deore LX, Deore DX, Deore XT และภายหลังมาเพิ่ม XTR ซึ่งไม่ใช่ Deore Series ครับ
และหลังจากนั้นมาก็เปลี่ยนเป็น Altus, STX, Deore LX, Deore XT และ XTR
และก็มาเป็น Altus, STX, STX RC (IG System), Deore LX, Deore XT, XTR
และก็มาเป็น Altus, Deore, Deore LX, Deore SLX, Deore XT, XTR
ซึ่งเมื่อมามองแล้ว ก็ต้องบอกว่าต้องดูด้วยว่าเป็น STX รุ่นไหนครับ ถ้ารุ่นแรก ก็ถือว่าไม่ขี่เหร่อะไรครับ แต่ถ้ารุ่นสองก็จะเป็นรอง RC อยู่นิดหน่อย แต่การใช้งานไม่แตกต่างครับ
ผมเองก็ใช้ดุม STX RC ในรถ Challenger ครับ ซึ่งใช้งานได้ดีทีเดียวครับ
อ้า...พอดีพึ่งจะเห็นว่าเป็นรถปี 98 ถ้าอย่างนั้นจะเป็นรอง STX RC อยู่เล็กน้อยครับ แต่ความนิ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์แทบไม่รู้สึกครับ และที่สำคัญ STX RC ไม่ได้เริ่มต้นในปี 1999 นะครับ มีก่อนหน้านั้นแล้วครับ แต่ผมคิดว่าปี 95 ครับ เพราะว่ารถ Challenger ผมประกอบเมื่อช่วงปี 95-96 ผมก็ใช้ STX RC แล้วครับ
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
การปรับแต่งรถจักรยานให้พอดีกับตัวผู้ขับขี่
|
|
วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คำแนะนำสำหรับการฝึกปั่นจักรยาน
คำแนะนำสำหรับการฝึกปั่นจักรยาน
จักรยานของคุณมีกี่เกียร์ลืมไปก่อนเลย ใช้เกียร์ที่แนะนำให้ไปก่อน อย่าเพิ่งเล่นเกียร์
เวลาขี่ให้หลังตรงอยู่เสมอ แล้วโน้มตัวไปหาแฮนด์ด้วยการใช้สะโพกเป็นจุดหมุน อย่าให้หลังค่อม
ดื่มน้ำทุก 15 นาที น้ำหนึ่งกระติก (เล็ก) ควรจะหมดในเวลาหนึ่งชั่วโมง
เพื่อป้องกันอาการเดินขาถ่าง ถ้าหาวาสลินได้สะดวก ก็จัดการทาให้ทั่วขาหนีบ แล้วค่อยใส่กางเกง
บทเรียนที่1
ใช้ นาฬิกาตั้งเวลาไว้15นาที แล้วก็ขี่จักรยานออกไปเรื่อยๆ ครบ15นาทีตรงไหนก็ขี่กลับเส้นทางเดิม ถ้าไม่แวะไปที่ไหนก็จะใช้เวลาขี่ราวๆครึ่งชั่วโมงพอดี เราจะใช้เวลาบนจักรยานวันละครึ่งชั่วโมงนี้ประมาณ 4-6 วันติดๆกันเลยก็ดี แต่หลังจากหมด 4-6 วันแรกนี้แล้วขอบังคับให้หยุดขี่ เอาโซ่ล่ามจักรยานไว้เลย 1-2 วันเพื่อเป็นการพักร่างกาย
หลักการปั่นจักรยาน
ตาม สูตรที่ฝึกต้องซอยขากันเร็ว 80 รอบ/นาที วิธีหัดก็คือขี่จักรยานด้วยเกียร์ต่ำ (ออกแรงขาน้อย แต่จักรยานไม่ค่อยวิ่ง ถ้าจักรยานของคุณมีเลขบอกเกียร์ที่มือสับเกียร์ ก็ลองปรับให้มือสับข้างซ้ายอยู่เลข 2 มือสับข้างขวาอยู่เลข 3) ขี่จักรยานด้วยความเร็วพอสมควร แล้วเริ่มจับเวลา (ด้วยนาฬิกาข้อมือ, มาตรวัดความเร็วที่ติดจักรยาน)
ใช้หัวเข่าขวาเป็นหลัก ทุกครั้งที่เข่าขวาขึ้นมาสุดก็ให้นับ 1 ขึ้นมาสุดอีกครั้งนับ2 ไปเรื่อยๆ จนครบ 15 วินาที นับได้กี่ครั้งก็คูณด้วย 4 จะได้จำนวนครั้งต่อนาทีที่ขาเราปั่นจักรยาน ดูว่าถ้าเกิน 80 ก็ชะลอขาลงหน่อยแล้วก็นับใหม่อีก 15 วินาที หรือน้อยกว่า80ก็ซอยขาปั่นเร็วขึ้นอีกหน่อยแล้วก็นับใหม่อีก 15 วินาที ลองจนกว่าจะนับเข่าขวาขึ้นมาสุดได้ 20 ครั้งใน 15 วินาที(ก็เท่ากับ 80 รอบต่อนาที) ก็ให้ปั่นด้วยความเร็วคงที่ขนาดนั้นไปให้ตลอดโดยไม่มีการเปลี่ยนเกียร์ ถ้าใครไม่มีมาตรวัดความเร็วติดจักรยานก็คอยเช็คด้วยการจับเวลานับหัวเข่า อยู่เรื่อยด้วย เพราะหัดปั่นขาเร็วขนาดนี้สำหรับคนไม่เคยจะบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า “เหนื่อยจัง” แล้วก็จะผ่อนความเร็วลงไปเพราะความไม่ชิน(ซึ่งเป็นกันทุกคน โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรกนี้) แต่เชื่อไหมว่าคนที่ใช้หลักสูตรนี่ เดี๋ยวนี้ปั่นกันเป็นปรกติที่ 85-90 รอบต่อนาทีกันทุกคน โดยไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยหรือเร็วไปซักคนเลย ขอให้ตั้งใจทำความเคยชินกับการซอยขาที่ 80 รอบต่อนาทีนี้ให้ได้นะเพราะสำคัญมาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ถ้าตั้งใจก็จะคุ้นเคยในเวลาแค่ไม่เกินสัปดาห์ ขาเราก็จะเคยชินกลายเป็นความจำโดยอัตโนมัติ คราวนี้แทบไม่ต้องนับหัวเข่ากันเลย
การปฏิบัติบทเรียนที่1
1.เลือก ใช้เกียร์ให้ถูกต้อง(มือสับเกียร์ข้างซ้ายเลข2-จานกลาง/มือสับเกียร์ข้างขวา เลข2หรือ3) แล้วก็ใช้เกียร์นั้นไปตลอดโดยไม่มีการเปลี่ยนเกียร์
2.ปั่น ขาที่80รอบต่อนาทีให้ตลอดเวลา โดยไม่มีการฟรี หรือ หยุดรถ(ถ้าไม่จำเป็น)จนกว่าจะครบเวลา (ในสัปดาห์แรกนี้ก็คือครึ่งชั่วโมง) หัดปั่นในทางราบ ไม่มีเนินเขา จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ สามารถปั่นขาที่ความเร็วคงที่,ออกแรงได้คงที่ ได้ตลอดเวลา ออกไปฝึกปั่นแต่ละครั้งอย่าใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงสำหรับสัปดาห์แรกนี้ ถ้าระบมเดี๋ยวจะฝึกขี่กันได้ไม่ต่อเนื่อง
ให้เวลาในการฝึกช่วงแรกนี้ 4-6 วัน ถ้าสามารถฝึกติดต่อกันได้ทุกวันจะทำให้ร่างกายชินกับจักรยานได้เร็วขึ้น จากนั้นพักการฝึก 1-2 วันโดยไม่มีการขึ้นขี่จักรยานเลย เป็นการจบการฝึกในช่วงแรก
3.สัปดาห์ที่สองใช้เกียร์เดิม ปั่นขาที่ 80 รอบ/นาทีเท่าเดิม แต่เพิ่มเวลาในการขี่เป็นวันละไม่เกิน 1 ชม.(อย่าน้อยกว่า 45 นาที คงจะเจียดเวลาได้) ฝึก 4-6 วันเหมือนเดิม แล้วก็หยุดพัก 1-2 วัน เป็นอันจบบทเรียนที่หนึ่ง
บทเรียนที่2
ผ่าน การฝึกมา 2 ยกแล้ว ถึงตอนนี้ร่างกายของแต่ละคนก็ควรจะชินกับท่าทางในการปั่นจักรยานกันแล้ว ระบบการทำงานต่างๆในร่างกายก็ควรจะดีขึ้นด้วย กล้ามเนื้อขาที่ใช้ในการปั่นขาจาน(หรือถีบลูกบันได)ก็ได้รับการโปรแกรมให้ ปั่นที่ความเร็วรอบสูงแล้ว คราวนี้เรามาเริ่มออกกำลังกันจริงๆล่ะ ที่ผ่านมาสองสัปดาห์นั่นแค่อุ่นเครื่องเท่านั้นเอง
หัดใช้เกียร์
ผ่าน โปรแกรมฝึกแล้วคราวนี้เล่นไม่ยาก เพราะขาเราจะชินกับการปั่นที่ 80 รอบ/นาทีกันแล้ว ก็ยึดรอบขานี้ไว้เป็นหลัก ไม่ว่าเราจะอยู่ที่เกียร์ไหน-ความเร็วเท่าไร ก็ให้รักษารอบการปั่นไว้เท่านี้เสมอ
แล้วจะใช้ยังไงบ้าง? ก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการทำงานของอุปกรณ์ติดจักรยานของเรากันก่อน มาดูกันที่มือสับเกียร์ทั้งข้างซ้ายและขวา ตัวเลขน้อยคือเกียร์ที่ใช้กับความเร็วต่ำ(แต่ใช้แรงน้อย) ตัวเลขมากใช้กับความเร็วสูง(แต่ต้องออกแรงมาก) มือสับข้างขวาจะใช้ในการเปลี่ยนแนวโซ่ไปยังเฟืองขนาดต่างๆที่ล้อหลัง เฟืองเล็กคือเกียร์สูง(ตัวเลขมาก-ต้องออกแรงมาก) เฟืองใหญ่คือเกียร์ต่ำ(ตัวเลขน้อย-ออกแรงน้อย) การเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวานี้จะให้ความเร็วในแต่ละเกียร์ไม่กระโดดต่างกัน มาก ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์ในการขับขี่โดยทั่วไปแล้วเราจะใช้มือขวานี้เป็นหลัก
มือเกียร์ขวา
เรา จะเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวาตามความเร็วของจักรยาน เช่น จากหยุดอยู่กับที่เริ่มออกตัวก็ควรจะใช้เกียร์1 พอขี่ไปหน่อยเริ่มมีความเร็วก็เปลี่ยนเป็นเกียร์2 เร็วขึ้นอีกก็เปลี่ยนเป็นเกียร์3 ไปเรื่อยๆ เวลาลดความเร็วลงมาก็ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงมาด้วยเช่นกัน จนรถหยุดก็จะอยู่ที่เกียร์1 เหมือนตอนเริ่มต้นขี่ แต่เวลาใช้งานจริงๆแล้วเกียร์หนึ่งนี่จะเบามากเกินไป เรามักจะเริ่มออกรถกันที่เกียร์สอง หรือ สาม กันมากกว่า
เรื่องที่ ต้องจำตรงนี้คือระบบเกียร์ของจักรยานส่วนใหญ่จะทำงานต่อเมื่อมีการขับโซ่ให้ หมุนไปข้างหน้าเท่านั้น เวลาชะลอความเร็วแล้วต้องเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ต่ำก็ให้ปั่นบันไดเดินหน้าไป ด้วย
มือเกียร์ซ้าย
มือสับเกียร์ข้างซ้ายจะเปลี่ยนแนวโซ่ไปยังจาน โซ่ซึ่งมี 3 ขนาด เล็ก-กลาง-ใหญ่ จากขนาดที่ต่างกันมากนี้ทำให้ความเร็วของแต่ละเกียร์ต่างกันมากด้วย การที่จะเลือกใช้จานโซ่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นทางที่เราจะไป เช่น
จานเล็ก(เกียร์หมายเลข 1) ใช้ในทางที่ไปได้ด้วยความเร็วต่ำแต่ต้องการกำลังมากๆ ช่วงขึ้นเขา หรือ ลุยโคลนลึกๆ
จานใบกลาง(เกียร์หมายเลข2) สภาพ ทั่วๆไปเราก็จะใช้ เป็นหลัก
จานใหญ่(เกียร์หมายเลข3) ใช้ช่วงที่ต้องการความเร็วสูง เช่น ตอนลงเขา และสำหรับทางในป่า
ถ้า ใครใช้รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็ให้นึกง่ายๆว่าจานเล็กสุดก็คือเกียร์ 4L จานกลางก็คือเกียร์ 4H หรือ Full Time 4WD ส่วนจานใบใหญ่ก็คือเกียร์ 2H นั่นแหละค่ะ ใช้เหมือนกันเลยทีเดียวแหละ
การปฏิบัติบทเรียนที่2
เริ่มด้วยการใช้จานโซ่ขนาดกลาง (มือสับเกียร์ข้างซ้ายชี้เลข2) มือสับข้างขวาชี้เลข2เช่นกัน เราจะใช้แต่เกียร์ที่มือขวาเท่านั้น
มือสับเกียร์ข้างซ้ายปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ต้องไปยุ่งอะไร
ออก รถปั่นไปจนกว่าขาจะซอยอยู่ที่ 80 รอบ/นาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเกียร์ที่มือขวาเป็นเกียร์3 รอบขาของเราจะตกลงมาต่ำกว่า 80 รอบต่อนาที เร่งซอยขาจนได้ 80 รอบ/นาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์4 รอบขาจะต่ำกว่า 80 รอบอีกแล้ว เร่งซอยขาจนได้ 80 รอบต่อนาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์5 พยายามซอยขาขึ้นมาที่ 80 รอบ/นาทีอีก แล้วคงความเร็วขนาดนั้นไว้ซักพัก ถึงตรงนี้คุณจะมีทางเลือก 3 ทาง
1. คุณยังมีแรงเหลือเฟือแล้วก็อยากไปเร็วขึ้นอีก ก็เปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้นได้เรื่อยๆ
2. คุณอยากปั่นด้วยความเร็วขนาดนี้แหละ ก็รักษารอบขาไว้ประมาณนี้
3. คุณรู้สึกเหนื่อยและต้องออกแรงที่ขามาก ก็ให้ลดเกียร์ต่ำลงมาหนึ่งเกียร์ และพยายามคงรอบขาไว้แถวๆ 80 รอบ/นาที
ใช้ วิธีซอยขาให้ได้ประมาณ 80-90 รอบ/นาทีนี้ แล้วถามความรู้สึกของขาคุณเองว่าเกียร์ที่ใช้อยู่นั้นหนักไป(ใช้เกียร์สูง ไป) หรือ เบาไป(ใช้เกียร์ต่ำไป) แล้วก็เปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงทีละ 1 เกียร์ให้พอดีกับแรงขา
ดื่มน้ำทุก 10-15 นาที พอ1/2 ชม.ก็จอดพักซักหน่อย แล้วก็เริ่มปั่นกลับบ้าน
การ ฝึกในช่วงสัปดาห์ที่3นี้ พยายามใช้เวลาให้ได้ 60-90 นาที/วัน ครบ 4-6 วันแล้วก็อย่าลืมพักเต็มๆอีกวันก่อนการฝึกในช่วงที่4ด้วย ฝึกความชำนาญในการเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวานี้ให้คล่องในทุกๆเกียร์
คำแนะนำสำหรับการหัดใช้เกียร์
มือสับเกียร์ข้างซ้ายอย่าเพิ่งไปเล่น ใช้สมาธิกับการใช้เกียร์ที่มือขวาก็พอแล้ว
พยายาม ใช้ให้หมดทุกเกียร์(มือขวา) จับความสัมพันธ์ของเกียร์กับความเร็วในแต่ละเกียร์ และกับแรงที่ต้องใช้ รักษารอบขาให้อยู่ในช่วง 80-90 รอบ/นาทีตลอดการฝึก
จะเลือกใช้เกียร์ไหนก็ให้ถามขาของคุณเอง ว่าเบาไป หรือ หนักไป
เวลาเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้งให้ผ่อนแรงถีบบันไดลง แต่อย่าหยุดปั่น จะทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลขึ้น
อย่าเพิ่งขึ้นเขา รอให้ฝึกสำเร็จก่อน
บทเรียนที่3
เรา มาลองใช้มือสับเกียร์ข้างซ้ายกันบ้าง ขาของแต่ละคนก็น่าจะมีแรงพอจะปั่นด้วยจานโซ่ใบใหญ่สุดได้สบายๆ ช่วงนี้เราจะค่อนข้างฟรีสไตล์ ขอให้คุณๆทำความรู้จักกับจักรยานเสือภูเขาของคุณให้ได้มากที่สุด เวลาในการขี่ในแต่ละวันไม่จำกัด ขออย่าน้อยกว่า 90 นาทีเป็นใช้ได้
การปฏิบัติบทเรียนที่3
ปั่น จักรยานด้วยความเร็วพอสมควรในเกียร์ 3 หรือ 4 แล้วใช้มือซ้ายเปลี่ยนเกียร์จาก 2 ไป 3 ผ่อนแรงถีบบันไดเล็กน้อย สังเกตดูรอบขาด้วยนะคะว่าตกมาเยอะแค่ไหน ลองซอยขาขึ้นไปที่ 80-90 รอบ/นาทีลองเปลี่ยนเกียร์ที่มือขวาให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ออกแรงปั่นเยอะหน่อย ดูว่าที่เกียร์สูงสุดนั้นคุณจะยังปั่นขาที่ 80 รอบ/นาทีได้มัย ?
ถ้า ได้-นานแค่ไหน ? ก่อนจะหมดแรง ลองเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำดูบ้าง เปลี่ยนเกียร์ไปที่เลข1 ทั้งสองข้าง ชะลอความเร็วลงมาจนเกือบหยุด ลองปั่นขาดู ลองเกียร์ให้ครบทุกตำแหน่งว่ารู้สึกอะไรบ้าง การเปลี่ยนเกียร์ยาก-ง่ายแค่ไหน? การออกแรงขาเป็นอย่างไร? เลี่ยงภูเขา ดื่มน้ำ พักผ่อน เหมือนที่เคยฝึกกันมา
เมื่อจบช่วงที่สี่นี้ก็เท่า กับว่าคุณๆทั้งหลายได้ปูพื้นฐานที่ดีสำหรับการเป็นนักเล่นจักรยานเสือภูเขา อย่างเต็มตัวแล้วนะคะ คุณๆจะมีทักษะและกำลังขาในการปั่นจักรยานไปไหนๆได้สบาย ใครที่ติดมาตรวัดระยะทางไว้ด้วยก็ลองดูซิคะว่าคุณใช้ระยะทางไปทั้งหมดเท่า ไหร่ในการปูพื้นฐานให้ขาของคุณ และหลายๆคนที่ฝึกแบบเต็มที่ส่วนใหญ่จะได้ระยะทางมากกว่า 1,000กม. ในเวลาแค่เดือนเดียว! อย่าลืมว่าการฝึกขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องสำคัญมากในการก้าวขึ้นไปสู่ขั้นที่ สูงขึ้น อย่างใครที่เคยเรียนเทนนิสอย่างถูกต้องก็คงจำได้นะคะว่าต้องรำไม้เปล่าๆกัน อยู่ตั้งหลายนานกว่าจะได้ลงตีลูกจริงๆ หรืออย่างนักกอล์ฟก็ต้องหมั่นซ้อมวงสวิงกันอยู่ตลอด เพราะพื้นฐานที่ถูกต้องเหล่านี้แหละที่จะนำเราไปสู่การพัฒนาระดับฝีมือที่ สูงขึ้นค่ะ แต่ละอาทิตย์ถ้าไม่มีเวลาที่จะขี่จักรยานกันได้ทุกวัน ก็ขอให้ใช้วันหยุดของคุณไปในการปั่นจักรยานไกลๆ (มากกว่า 60กม.) ซักวัน เพื่อรักษาสภาพความพร้อมของร่างกายไว้ให้ได้มากที่สุด
ทำไมต้องซอยขาที่ 80 รตน.หรือมากกว่า ? เหตุผลมีหลายอย่าง
1.เพราะ ต้องการให้หัวเข่าปลอดภัยจากอาการบาดเจ็บ อย่าลืมว่าต้องปรับตำแหน่งและความสูงของเบาะให้ถูกต้องด้วยนะคะ เพราะถ้าหากปรับเบาะไม่ถูกต้องแล้ว การซอยขาเร็วก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก การปั่นซอยขาได้เร็วเป็นตัวชี้ว่าขาเราออกแรงไม่มากจนเกินไป แรงกดที่กระทำต่อกระดูกหัวเข่าชิ้นต่างๆจึงไม่มากนักด้วย การสึกหรอก็น้อยตาม และจากการตั้งตำแหน่งเบาะที่ถูกต้องกับรอบขาที่สูงโดยที่แรงกดไม่มากนี้จะทำ ให้ชิ้นส่วนต่างๆของหัวเข่าได้ขัดถูกันอย่างดี การเคลื่อนไหวของหัวเข่าก็จะราบลื่นตามไปด้วย
2.ลดหรือเลี่ยงอาการ บาดเจ็บ หรืออาการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของขา จากเหตุที่ว่าขาเราไม่ต้องออกแรงมากไงคะ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั้งหลายก็พลอยสบายไปด้วย ผลพลอยได้จากการที่กล้ามเนื้อไม่ต้องออกแรงเค้นมาก และการซอยขาที่สม่ำเสมอไม่มีการกระแทกกระทั้นเหมือนกีฬาอย่างอื่น ทำให้กล้ามเนื้อขาของนักจักรยานที่ฝึกตามสูตรนี้มีรูปทรงที่สวย ไม่ปูดโปนอย่างนักฟุตบอลหรือนักวิ่งแน่นอนค่ะ(สาวๆทั้งหลายสบายใจได้)
3.มา จากห้องวิจัยด้านกีฬา(ของฝรั่ง)ว่า การซอยขาปั่นจักรยานที่ 80-90 รตน.นี้เป็นช่วงที่เราได้ประสิทธิภาพโดยรวมจากร่างกามากที่สุด คือได้กำลังจากขามากแต่ขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อน้อย และการขจัดกรดแลคติคที่เป็นของเสียจากการออกกำลังของกล้ามเนื้อก็มีอัตราที่ สูง พูดง่ายๆว่าถ้าให้ใครซักคนทานอาหารที่ปริมาณเท่าๆกันแล้วปั่นจักรยาน การใช้รอบขา 80-90 รตน.นี้จะไปได้ไกลที่สุดก่อนจะหมดแรงหรือล้าจนปั่นไม่ไหว เมื่อเทียบกับการที่ใช้รอบขามากหรือน้อยกว่า
4.มาจากห้องแล็บ คือว่าการปั่นขาที่ 80-90 รตน.นี้จะสามารถเร่งความเร็วขาขึ้นไปที่รอบสูงได้ดีกว่าการปั่นขาที่รอบต่ำ กว่านี้ และสามารถส่งต่อเกียร์ที่สูงขึ้นได้ดีกว่า พูดง่ายๆว่าเร่งแซงได้เร็วขึ้นกว่าการปั่นขาที่รอบต่ำ ถ้าเทียบเป็นรถยนต์ก็ลองดูสิคะว่าจากความเร็ว 60 กม./ชม.ขึ้นไปที่ความเร็ว 100 กม./ชม.นั้น ถ้าใช้เกียร์สี่จะกินเวลาเท่าไหร่? แล้วลองใช้เกียร์สามที่ต้องใช้รอบสูงขึ้นจะใช้เวลาน้อยลงแค่ไหน พอจะเห็นภาพกันหรือเปล่าคะ?
5.เป็นการถนอมระบบขับเคลื่อนของจักรยาน คันเก่งของเราให้ทนขึ้น ซึ่งก็คล้ายกับเหตุผลข้อแรกนั่นแหละค่ะแต่มาประยุกต์ใช้กับจักรยานแทน แค่ห้าข้อนี่ก็น่าจะจูงใจให้มาหัด “ซอยยิกๆ” กันบ้างแล้วนะคะ
ทำไมต้อง ดื่มน้ำเยอะ?กีฬาจักรยานเป็นกีฬาที่มีอะไรแปลกๆหลายอย่าง คือเรื่องดื่มน้ำนี่แหละ คนที่ขี่จักรยานส่วนใหญ่ถ้าแดดไม่ร้อน หรือขี่อยู่แค่ใกล้ๆก็จะไม่ค่อยนึกถึงเรื่องกระหายน้ำกัน เหตุก็เพราะขณะที่เราขี่จักรยานฝ่าอากาศไปนั้น ลมที่มาปะทะตัวเราจะพาเหงื่อให้ระเหยไปอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่รู้สึกร้อน แล้วก็พลอยไม่กระหายน้ำไปด้วย ไม่เหมือนกีฬาอย่างอื่นที่เล่นอยู่กับที่และการเคลื่อนที่ผ่านอากาศก็ไม่ต่อ เนื่องเช่น เทนนิส บาสเกตบอล ฯลฯ ที่พอหยุดเคลื่อนไหวแล้วจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันที ก็เลยต้องหาน้ำดื่มคลายร้อนกันโดยอัตโนมัติ แต่อย่าลืมว่าขณะที่เราออกแรงปั่นจักรยาน ร่างกายก็ต้องเกิดความร้อนขึ้นเช่นกัน แล้วความร้อนนี้ก็ถูกควบคุมโดยน้ำในร่างกายที่ออกมาเป็นเหงื่อ เราจึงต้องทดแทนน้ำส่วนที่เป็นเหงื่อนี้ด้วยการดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปเช่นกัน ไม่เช่นนั้นหากเสียน้ำในรูปของเหงื่อหรือปัสสาวะมากเกินไปก็จะเกิดอันตราย ได้ ดังนั้นจึงควรฝึกดื่มน้ำในขณะขี่จักรยานให้เยอะๆไว้จนเป็นนิสัย
ทำไม ต้องมีวันหยุดพัก,ฝึกปั่นทุกวันไม่ได้หรือ? ก็มีหลายเหตุผลอีกแหละค่ะ หนึ่งคือเพื่อเป็นการปรับร่างกายให้เคยชินกับการฝึก จากการทดลองของฝรั่งเค้าพบว่า ถ้าตะบี้ตะบันฝึกทุกวันแล้ว อัตราการก้าวหน้าในการปรับตัวของร่างกายจะไม่ค่อยดี สู้ฝึกๆหยุดๆไม่ได้ ซึ่งจากการทดลองก็เลยพบเหตุที่สองคือสภาพที่เรียกว่า “โอเวอร์เทรนนิ่ง” (Overstraining) คือ อาการโทรมจากการฝึกซ้อมมากเกินไปสภาพนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายตกต่ำ ลงอีกต่างหาก และอาจเกิดอันตรายด้วยหากยังดันทุรังฝึกหนักต่อไป ไว้จะมาแจงรายละเอียดกันเมื่อมีโอกาสหรืออาจต้องขอความรู้จากนักวิชาการตัว จริงให้มาช่วยวิสัชนากันหน่อย
ผมเล่นจักรยานมานานแล้ว จำเป็นที่จะต้องมาเริ่มโปรแกรมปั่นพื้นฐานของมือใหม่นี้ด้วยหรือเปล่า?
โปรแกรม นี้มีจุดประสงค์ที่จะปูพื้นฐานที่ถูกต้องให้กับผู้ที่รักจะเล่นจักรยาน(ทุก ชนิด)ในแบบที่ถูกต้อง ก็ลองถามตัวคุณเองดูนะคะว่าคุณได้เริ่มต้นเล่นจักรยานมาอย่างถูกต้องหรือ เปล่า? โดยการดูว่า 1) ร่างกายของคุณปรับตัวเข้ากับจักรยานได้ดีหรือไม่? 2) ในการขี่จักรยานโดยปรกติคุณใช้รอบขาสูง 80-90 รตน.หรือไม่? 3) คุณใช้เกียร์ได้คล่องและถูกต้องหรือไม่? ถ้าคุณตอบ “ไม่ ” ตั้งแต่หนึ่งข้อขึ้นไปแล้วคุณอยากจะเล่นจักรยานให้ได้ดีไม่มีการบาดเจ็บจาก การออกกำลัง ก็คิดว่าคุ้มค่าที่คุณจะมาเริ่มฝึกใหม่ตามโปรแกรม
ขณะฝึกตาม โปรแกรม จะหยุดพักได้บ่อยแค่ไหน? หยุดพักได้เมื่อคุณขี่ได้ครึ่งหนึ่งของเวลาที่คุณตั้งใจจะขี่ค่ะ อย่างเช่นถ้าคุณอยู่ในช่วงแรกของบทเรียนที่หนึ่ง คุณก็จะหยุดพักได้เมื่อขี่ไปแล้ว 15 นาที แต่ในขณะที่ปั่นอยู่ใน15นาทีนั้น อย่าหยุดปั่นขาบ่อยหรือไม่ควรหยุดปั่นขาเลย (ยกเว้นในจุดที่ต้องชะลอความเร็ว เช่น ตามทางแยก หรือ ต้องเหล่หนุ่ม-เหล่สาว ฯลฯ) เพราะการซอยขาตลอดเวลาจะทำให้กล้ามเนื้อขาของเรา “จำ” การซอยขาที่ 80 รตน.นี้ได้เร็วขึ้น และทำให้ระบบการหายใจ, การเผาผลาญอาหาร ฯลฯ ของร่างกายทำงานได้คงที่ด้วยซึ่งจะเป็นผลดีต่อร่างกายของเราเองค่ะ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ ดังนั้น จงหยุดพักได้บ่อยเท่าที่คุณอยากจะพักนั่นแหละค่ะ ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าตัวคุณเองหรอก
ที่มา http://thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=60&t=342295
จักรยานของคุณมีกี่เกียร์ลืมไปก่อนเลย ใช้เกียร์ที่แนะนำให้ไปก่อน อย่าเพิ่งเล่นเกียร์
เวลาขี่ให้หลังตรงอยู่เสมอ แล้วโน้มตัวไปหาแฮนด์ด้วยการใช้สะโพกเป็นจุดหมุน อย่าให้หลังค่อม
ดื่มน้ำทุก 15 นาที น้ำหนึ่งกระติก (เล็ก) ควรจะหมดในเวลาหนึ่งชั่วโมง
เพื่อป้องกันอาการเดินขาถ่าง ถ้าหาวาสลินได้สะดวก ก็จัดการทาให้ทั่วขาหนีบ แล้วค่อยใส่กางเกง
บทเรียนที่1
ใช้ นาฬิกาตั้งเวลาไว้15นาที แล้วก็ขี่จักรยานออกไปเรื่อยๆ ครบ15นาทีตรงไหนก็ขี่กลับเส้นทางเดิม ถ้าไม่แวะไปที่ไหนก็จะใช้เวลาขี่ราวๆครึ่งชั่วโมงพอดี เราจะใช้เวลาบนจักรยานวันละครึ่งชั่วโมงนี้ประมาณ 4-6 วันติดๆกันเลยก็ดี แต่หลังจากหมด 4-6 วันแรกนี้แล้วขอบังคับให้หยุดขี่ เอาโซ่ล่ามจักรยานไว้เลย 1-2 วันเพื่อเป็นการพักร่างกาย
หลักการปั่นจักรยาน
ตาม สูตรที่ฝึกต้องซอยขากันเร็ว 80 รอบ/นาที วิธีหัดก็คือขี่จักรยานด้วยเกียร์ต่ำ (ออกแรงขาน้อย แต่จักรยานไม่ค่อยวิ่ง ถ้าจักรยานของคุณมีเลขบอกเกียร์ที่มือสับเกียร์ ก็ลองปรับให้มือสับข้างซ้ายอยู่เลข 2 มือสับข้างขวาอยู่เลข 3) ขี่จักรยานด้วยความเร็วพอสมควร แล้วเริ่มจับเวลา (ด้วยนาฬิกาข้อมือ, มาตรวัดความเร็วที่ติดจักรยาน)
ใช้หัวเข่าขวาเป็นหลัก ทุกครั้งที่เข่าขวาขึ้นมาสุดก็ให้นับ 1 ขึ้นมาสุดอีกครั้งนับ2 ไปเรื่อยๆ จนครบ 15 วินาที นับได้กี่ครั้งก็คูณด้วย 4 จะได้จำนวนครั้งต่อนาทีที่ขาเราปั่นจักรยาน ดูว่าถ้าเกิน 80 ก็ชะลอขาลงหน่อยแล้วก็นับใหม่อีก 15 วินาที หรือน้อยกว่า80ก็ซอยขาปั่นเร็วขึ้นอีกหน่อยแล้วก็นับใหม่อีก 15 วินาที ลองจนกว่าจะนับเข่าขวาขึ้นมาสุดได้ 20 ครั้งใน 15 วินาที(ก็เท่ากับ 80 รอบต่อนาที) ก็ให้ปั่นด้วยความเร็วคงที่ขนาดนั้นไปให้ตลอดโดยไม่มีการเปลี่ยนเกียร์ ถ้าใครไม่มีมาตรวัดความเร็วติดจักรยานก็คอยเช็คด้วยการจับเวลานับหัวเข่า อยู่เรื่อยด้วย เพราะหัดปั่นขาเร็วขนาดนี้สำหรับคนไม่เคยจะบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า “เหนื่อยจัง” แล้วก็จะผ่อนความเร็วลงไปเพราะความไม่ชิน(ซึ่งเป็นกันทุกคน โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรกนี้) แต่เชื่อไหมว่าคนที่ใช้หลักสูตรนี่ เดี๋ยวนี้ปั่นกันเป็นปรกติที่ 85-90 รอบต่อนาทีกันทุกคน โดยไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยหรือเร็วไปซักคนเลย ขอให้ตั้งใจทำความเคยชินกับการซอยขาที่ 80 รอบต่อนาทีนี้ให้ได้นะเพราะสำคัญมาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ถ้าตั้งใจก็จะคุ้นเคยในเวลาแค่ไม่เกินสัปดาห์ ขาเราก็จะเคยชินกลายเป็นความจำโดยอัตโนมัติ คราวนี้แทบไม่ต้องนับหัวเข่ากันเลย
การปฏิบัติบทเรียนที่1
1.เลือก ใช้เกียร์ให้ถูกต้อง(มือสับเกียร์ข้างซ้ายเลข2-จานกลาง/มือสับเกียร์ข้างขวา เลข2หรือ3) แล้วก็ใช้เกียร์นั้นไปตลอดโดยไม่มีการเปลี่ยนเกียร์
2.ปั่น ขาที่80รอบต่อนาทีให้ตลอดเวลา โดยไม่มีการฟรี หรือ หยุดรถ(ถ้าไม่จำเป็น)จนกว่าจะครบเวลา (ในสัปดาห์แรกนี้ก็คือครึ่งชั่วโมง) หัดปั่นในทางราบ ไม่มีเนินเขา จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ สามารถปั่นขาที่ความเร็วคงที่,ออกแรงได้คงที่ ได้ตลอดเวลา ออกไปฝึกปั่นแต่ละครั้งอย่าใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงสำหรับสัปดาห์แรกนี้ ถ้าระบมเดี๋ยวจะฝึกขี่กันได้ไม่ต่อเนื่อง
ให้เวลาในการฝึกช่วงแรกนี้ 4-6 วัน ถ้าสามารถฝึกติดต่อกันได้ทุกวันจะทำให้ร่างกายชินกับจักรยานได้เร็วขึ้น จากนั้นพักการฝึก 1-2 วันโดยไม่มีการขึ้นขี่จักรยานเลย เป็นการจบการฝึกในช่วงแรก
3.สัปดาห์ที่สองใช้เกียร์เดิม ปั่นขาที่ 80 รอบ/นาทีเท่าเดิม แต่เพิ่มเวลาในการขี่เป็นวันละไม่เกิน 1 ชม.(อย่าน้อยกว่า 45 นาที คงจะเจียดเวลาได้) ฝึก 4-6 วันเหมือนเดิม แล้วก็หยุดพัก 1-2 วัน เป็นอันจบบทเรียนที่หนึ่ง
บทเรียนที่2
ผ่าน การฝึกมา 2 ยกแล้ว ถึงตอนนี้ร่างกายของแต่ละคนก็ควรจะชินกับท่าทางในการปั่นจักรยานกันแล้ว ระบบการทำงานต่างๆในร่างกายก็ควรจะดีขึ้นด้วย กล้ามเนื้อขาที่ใช้ในการปั่นขาจาน(หรือถีบลูกบันได)ก็ได้รับการโปรแกรมให้ ปั่นที่ความเร็วรอบสูงแล้ว คราวนี้เรามาเริ่มออกกำลังกันจริงๆล่ะ ที่ผ่านมาสองสัปดาห์นั่นแค่อุ่นเครื่องเท่านั้นเอง
หัดใช้เกียร์
ผ่าน โปรแกรมฝึกแล้วคราวนี้เล่นไม่ยาก เพราะขาเราจะชินกับการปั่นที่ 80 รอบ/นาทีกันแล้ว ก็ยึดรอบขานี้ไว้เป็นหลัก ไม่ว่าเราจะอยู่ที่เกียร์ไหน-ความเร็วเท่าไร ก็ให้รักษารอบการปั่นไว้เท่านี้เสมอ
แล้วจะใช้ยังไงบ้าง? ก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการทำงานของอุปกรณ์ติดจักรยานของเรากันก่อน มาดูกันที่มือสับเกียร์ทั้งข้างซ้ายและขวา ตัวเลขน้อยคือเกียร์ที่ใช้กับความเร็วต่ำ(แต่ใช้แรงน้อย) ตัวเลขมากใช้กับความเร็วสูง(แต่ต้องออกแรงมาก) มือสับข้างขวาจะใช้ในการเปลี่ยนแนวโซ่ไปยังเฟืองขนาดต่างๆที่ล้อหลัง เฟืองเล็กคือเกียร์สูง(ตัวเลขมาก-ต้องออกแรงมาก) เฟืองใหญ่คือเกียร์ต่ำ(ตัวเลขน้อย-ออกแรงน้อย) การเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวานี้จะให้ความเร็วในแต่ละเกียร์ไม่กระโดดต่างกัน มาก ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์ในการขับขี่โดยทั่วไปแล้วเราจะใช้มือขวานี้เป็นหลัก
มือเกียร์ขวา
เรา จะเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวาตามความเร็วของจักรยาน เช่น จากหยุดอยู่กับที่เริ่มออกตัวก็ควรจะใช้เกียร์1 พอขี่ไปหน่อยเริ่มมีความเร็วก็เปลี่ยนเป็นเกียร์2 เร็วขึ้นอีกก็เปลี่ยนเป็นเกียร์3 ไปเรื่อยๆ เวลาลดความเร็วลงมาก็ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงมาด้วยเช่นกัน จนรถหยุดก็จะอยู่ที่เกียร์1 เหมือนตอนเริ่มต้นขี่ แต่เวลาใช้งานจริงๆแล้วเกียร์หนึ่งนี่จะเบามากเกินไป เรามักจะเริ่มออกรถกันที่เกียร์สอง หรือ สาม กันมากกว่า
เรื่องที่ ต้องจำตรงนี้คือระบบเกียร์ของจักรยานส่วนใหญ่จะทำงานต่อเมื่อมีการขับโซ่ให้ หมุนไปข้างหน้าเท่านั้น เวลาชะลอความเร็วแล้วต้องเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ต่ำก็ให้ปั่นบันไดเดินหน้าไป ด้วย
มือเกียร์ซ้าย
มือสับเกียร์ข้างซ้ายจะเปลี่ยนแนวโซ่ไปยังจาน โซ่ซึ่งมี 3 ขนาด เล็ก-กลาง-ใหญ่ จากขนาดที่ต่างกันมากนี้ทำให้ความเร็วของแต่ละเกียร์ต่างกันมากด้วย การที่จะเลือกใช้จานโซ่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นทางที่เราจะไป เช่น
จานเล็ก(เกียร์หมายเลข 1) ใช้ในทางที่ไปได้ด้วยความเร็วต่ำแต่ต้องการกำลังมากๆ ช่วงขึ้นเขา หรือ ลุยโคลนลึกๆ
จานใบกลาง(เกียร์หมายเลข2) สภาพ ทั่วๆไปเราก็จะใช้ เป็นหลัก
จานใหญ่(เกียร์หมายเลข3) ใช้ช่วงที่ต้องการความเร็วสูง เช่น ตอนลงเขา และสำหรับทางในป่า
ถ้า ใครใช้รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็ให้นึกง่ายๆว่าจานเล็กสุดก็คือเกียร์ 4L จานกลางก็คือเกียร์ 4H หรือ Full Time 4WD ส่วนจานใบใหญ่ก็คือเกียร์ 2H นั่นแหละค่ะ ใช้เหมือนกันเลยทีเดียวแหละ
การปฏิบัติบทเรียนที่2
เริ่มด้วยการใช้จานโซ่ขนาดกลาง (มือสับเกียร์ข้างซ้ายชี้เลข2) มือสับข้างขวาชี้เลข2เช่นกัน เราจะใช้แต่เกียร์ที่มือขวาเท่านั้น
มือสับเกียร์ข้างซ้ายปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ต้องไปยุ่งอะไร
ออก รถปั่นไปจนกว่าขาจะซอยอยู่ที่ 80 รอบ/นาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเกียร์ที่มือขวาเป็นเกียร์3 รอบขาของเราจะตกลงมาต่ำกว่า 80 รอบต่อนาที เร่งซอยขาจนได้ 80 รอบ/นาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์4 รอบขาจะต่ำกว่า 80 รอบอีกแล้ว เร่งซอยขาจนได้ 80 รอบต่อนาทีหรือมากกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์5 พยายามซอยขาขึ้นมาที่ 80 รอบ/นาทีอีก แล้วคงความเร็วขนาดนั้นไว้ซักพัก ถึงตรงนี้คุณจะมีทางเลือก 3 ทาง
1. คุณยังมีแรงเหลือเฟือแล้วก็อยากไปเร็วขึ้นอีก ก็เปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้นได้เรื่อยๆ
2. คุณอยากปั่นด้วยความเร็วขนาดนี้แหละ ก็รักษารอบขาไว้ประมาณนี้
3. คุณรู้สึกเหนื่อยและต้องออกแรงที่ขามาก ก็ให้ลดเกียร์ต่ำลงมาหนึ่งเกียร์ และพยายามคงรอบขาไว้แถวๆ 80 รอบ/นาที
ใช้ วิธีซอยขาให้ได้ประมาณ 80-90 รอบ/นาทีนี้ แล้วถามความรู้สึกของขาคุณเองว่าเกียร์ที่ใช้อยู่นั้นหนักไป(ใช้เกียร์สูง ไป) หรือ เบาไป(ใช้เกียร์ต่ำไป) แล้วก็เปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงทีละ 1 เกียร์ให้พอดีกับแรงขา
ดื่มน้ำทุก 10-15 นาที พอ1/2 ชม.ก็จอดพักซักหน่อย แล้วก็เริ่มปั่นกลับบ้าน
การ ฝึกในช่วงสัปดาห์ที่3นี้ พยายามใช้เวลาให้ได้ 60-90 นาที/วัน ครบ 4-6 วันแล้วก็อย่าลืมพักเต็มๆอีกวันก่อนการฝึกในช่วงที่4ด้วย ฝึกความชำนาญในการเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือขวานี้ให้คล่องในทุกๆเกียร์
คำแนะนำสำหรับการหัดใช้เกียร์
มือสับเกียร์ข้างซ้ายอย่าเพิ่งไปเล่น ใช้สมาธิกับการใช้เกียร์ที่มือขวาก็พอแล้ว
พยายาม ใช้ให้หมดทุกเกียร์(มือขวา) จับความสัมพันธ์ของเกียร์กับความเร็วในแต่ละเกียร์ และกับแรงที่ต้องใช้ รักษารอบขาให้อยู่ในช่วง 80-90 รอบ/นาทีตลอดการฝึก
จะเลือกใช้เกียร์ไหนก็ให้ถามขาของคุณเอง ว่าเบาไป หรือ หนักไป
เวลาเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้งให้ผ่อนแรงถีบบันไดลง แต่อย่าหยุดปั่น จะทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลขึ้น
อย่าเพิ่งขึ้นเขา รอให้ฝึกสำเร็จก่อน
บทเรียนที่3
เรา มาลองใช้มือสับเกียร์ข้างซ้ายกันบ้าง ขาของแต่ละคนก็น่าจะมีแรงพอจะปั่นด้วยจานโซ่ใบใหญ่สุดได้สบายๆ ช่วงนี้เราจะค่อนข้างฟรีสไตล์ ขอให้คุณๆทำความรู้จักกับจักรยานเสือภูเขาของคุณให้ได้มากที่สุด เวลาในการขี่ในแต่ละวันไม่จำกัด ขออย่าน้อยกว่า 90 นาทีเป็นใช้ได้
การปฏิบัติบทเรียนที่3
ปั่น จักรยานด้วยความเร็วพอสมควรในเกียร์ 3 หรือ 4 แล้วใช้มือซ้ายเปลี่ยนเกียร์จาก 2 ไป 3 ผ่อนแรงถีบบันไดเล็กน้อย สังเกตดูรอบขาด้วยนะคะว่าตกมาเยอะแค่ไหน ลองซอยขาขึ้นไปที่ 80-90 รอบ/นาทีลองเปลี่ยนเกียร์ที่มือขวาให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ออกแรงปั่นเยอะหน่อย ดูว่าที่เกียร์สูงสุดนั้นคุณจะยังปั่นขาที่ 80 รอบ/นาทีได้มัย ?
ถ้า ได้-นานแค่ไหน ? ก่อนจะหมดแรง ลองเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำดูบ้าง เปลี่ยนเกียร์ไปที่เลข1 ทั้งสองข้าง ชะลอความเร็วลงมาจนเกือบหยุด ลองปั่นขาดู ลองเกียร์ให้ครบทุกตำแหน่งว่ารู้สึกอะไรบ้าง การเปลี่ยนเกียร์ยาก-ง่ายแค่ไหน? การออกแรงขาเป็นอย่างไร? เลี่ยงภูเขา ดื่มน้ำ พักผ่อน เหมือนที่เคยฝึกกันมา
เมื่อจบช่วงที่สี่นี้ก็เท่า กับว่าคุณๆทั้งหลายได้ปูพื้นฐานที่ดีสำหรับการเป็นนักเล่นจักรยานเสือภูเขา อย่างเต็มตัวแล้วนะคะ คุณๆจะมีทักษะและกำลังขาในการปั่นจักรยานไปไหนๆได้สบาย ใครที่ติดมาตรวัดระยะทางไว้ด้วยก็ลองดูซิคะว่าคุณใช้ระยะทางไปทั้งหมดเท่า ไหร่ในการปูพื้นฐานให้ขาของคุณ และหลายๆคนที่ฝึกแบบเต็มที่ส่วนใหญ่จะได้ระยะทางมากกว่า 1,000กม. ในเวลาแค่เดือนเดียว! อย่าลืมว่าการฝึกขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องสำคัญมากในการก้าวขึ้นไปสู่ขั้นที่ สูงขึ้น อย่างใครที่เคยเรียนเทนนิสอย่างถูกต้องก็คงจำได้นะคะว่าต้องรำไม้เปล่าๆกัน อยู่ตั้งหลายนานกว่าจะได้ลงตีลูกจริงๆ หรืออย่างนักกอล์ฟก็ต้องหมั่นซ้อมวงสวิงกันอยู่ตลอด เพราะพื้นฐานที่ถูกต้องเหล่านี้แหละที่จะนำเราไปสู่การพัฒนาระดับฝีมือที่ สูงขึ้นค่ะ แต่ละอาทิตย์ถ้าไม่มีเวลาที่จะขี่จักรยานกันได้ทุกวัน ก็ขอให้ใช้วันหยุดของคุณไปในการปั่นจักรยานไกลๆ (มากกว่า 60กม.) ซักวัน เพื่อรักษาสภาพความพร้อมของร่างกายไว้ให้ได้มากที่สุด
ทำไมต้องซอยขาที่ 80 รตน.หรือมากกว่า ? เหตุผลมีหลายอย่าง
1.เพราะ ต้องการให้หัวเข่าปลอดภัยจากอาการบาดเจ็บ อย่าลืมว่าต้องปรับตำแหน่งและความสูงของเบาะให้ถูกต้องด้วยนะคะ เพราะถ้าหากปรับเบาะไม่ถูกต้องแล้ว การซอยขาเร็วก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก การปั่นซอยขาได้เร็วเป็นตัวชี้ว่าขาเราออกแรงไม่มากจนเกินไป แรงกดที่กระทำต่อกระดูกหัวเข่าชิ้นต่างๆจึงไม่มากนักด้วย การสึกหรอก็น้อยตาม และจากการตั้งตำแหน่งเบาะที่ถูกต้องกับรอบขาที่สูงโดยที่แรงกดไม่มากนี้จะทำ ให้ชิ้นส่วนต่างๆของหัวเข่าได้ขัดถูกันอย่างดี การเคลื่อนไหวของหัวเข่าก็จะราบลื่นตามไปด้วย
2.ลดหรือเลี่ยงอาการ บาดเจ็บ หรืออาการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของขา จากเหตุที่ว่าขาเราไม่ต้องออกแรงมากไงคะ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั้งหลายก็พลอยสบายไปด้วย ผลพลอยได้จากการที่กล้ามเนื้อไม่ต้องออกแรงเค้นมาก และการซอยขาที่สม่ำเสมอไม่มีการกระแทกกระทั้นเหมือนกีฬาอย่างอื่น ทำให้กล้ามเนื้อขาของนักจักรยานที่ฝึกตามสูตรนี้มีรูปทรงที่สวย ไม่ปูดโปนอย่างนักฟุตบอลหรือนักวิ่งแน่นอนค่ะ(สาวๆทั้งหลายสบายใจได้)
3.มา จากห้องวิจัยด้านกีฬา(ของฝรั่ง)ว่า การซอยขาปั่นจักรยานที่ 80-90 รตน.นี้เป็นช่วงที่เราได้ประสิทธิภาพโดยรวมจากร่างกามากที่สุด คือได้กำลังจากขามากแต่ขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อน้อย และการขจัดกรดแลคติคที่เป็นของเสียจากการออกกำลังของกล้ามเนื้อก็มีอัตราที่ สูง พูดง่ายๆว่าถ้าให้ใครซักคนทานอาหารที่ปริมาณเท่าๆกันแล้วปั่นจักรยาน การใช้รอบขา 80-90 รตน.นี้จะไปได้ไกลที่สุดก่อนจะหมดแรงหรือล้าจนปั่นไม่ไหว เมื่อเทียบกับการที่ใช้รอบขามากหรือน้อยกว่า
4.มาจากห้องแล็บ คือว่าการปั่นขาที่ 80-90 รตน.นี้จะสามารถเร่งความเร็วขาขึ้นไปที่รอบสูงได้ดีกว่าการปั่นขาที่รอบต่ำ กว่านี้ และสามารถส่งต่อเกียร์ที่สูงขึ้นได้ดีกว่า พูดง่ายๆว่าเร่งแซงได้เร็วขึ้นกว่าการปั่นขาที่รอบต่ำ ถ้าเทียบเป็นรถยนต์ก็ลองดูสิคะว่าจากความเร็ว 60 กม./ชม.ขึ้นไปที่ความเร็ว 100 กม./ชม.นั้น ถ้าใช้เกียร์สี่จะกินเวลาเท่าไหร่? แล้วลองใช้เกียร์สามที่ต้องใช้รอบสูงขึ้นจะใช้เวลาน้อยลงแค่ไหน พอจะเห็นภาพกันหรือเปล่าคะ?
5.เป็นการถนอมระบบขับเคลื่อนของจักรยาน คันเก่งของเราให้ทนขึ้น ซึ่งก็คล้ายกับเหตุผลข้อแรกนั่นแหละค่ะแต่มาประยุกต์ใช้กับจักรยานแทน แค่ห้าข้อนี่ก็น่าจะจูงใจให้มาหัด “ซอยยิกๆ” กันบ้างแล้วนะคะ
ทำไมต้อง ดื่มน้ำเยอะ?กีฬาจักรยานเป็นกีฬาที่มีอะไรแปลกๆหลายอย่าง คือเรื่องดื่มน้ำนี่แหละ คนที่ขี่จักรยานส่วนใหญ่ถ้าแดดไม่ร้อน หรือขี่อยู่แค่ใกล้ๆก็จะไม่ค่อยนึกถึงเรื่องกระหายน้ำกัน เหตุก็เพราะขณะที่เราขี่จักรยานฝ่าอากาศไปนั้น ลมที่มาปะทะตัวเราจะพาเหงื่อให้ระเหยไปอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่รู้สึกร้อน แล้วก็พลอยไม่กระหายน้ำไปด้วย ไม่เหมือนกีฬาอย่างอื่นที่เล่นอยู่กับที่และการเคลื่อนที่ผ่านอากาศก็ไม่ต่อ เนื่องเช่น เทนนิส บาสเกตบอล ฯลฯ ที่พอหยุดเคลื่อนไหวแล้วจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันที ก็เลยต้องหาน้ำดื่มคลายร้อนกันโดยอัตโนมัติ แต่อย่าลืมว่าขณะที่เราออกแรงปั่นจักรยาน ร่างกายก็ต้องเกิดความร้อนขึ้นเช่นกัน แล้วความร้อนนี้ก็ถูกควบคุมโดยน้ำในร่างกายที่ออกมาเป็นเหงื่อ เราจึงต้องทดแทนน้ำส่วนที่เป็นเหงื่อนี้ด้วยการดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปเช่นกัน ไม่เช่นนั้นหากเสียน้ำในรูปของเหงื่อหรือปัสสาวะมากเกินไปก็จะเกิดอันตราย ได้ ดังนั้นจึงควรฝึกดื่มน้ำในขณะขี่จักรยานให้เยอะๆไว้จนเป็นนิสัย
ทำไม ต้องมีวันหยุดพัก,ฝึกปั่นทุกวันไม่ได้หรือ? ก็มีหลายเหตุผลอีกแหละค่ะ หนึ่งคือเพื่อเป็นการปรับร่างกายให้เคยชินกับการฝึก จากการทดลองของฝรั่งเค้าพบว่า ถ้าตะบี้ตะบันฝึกทุกวันแล้ว อัตราการก้าวหน้าในการปรับตัวของร่างกายจะไม่ค่อยดี สู้ฝึกๆหยุดๆไม่ได้ ซึ่งจากการทดลองก็เลยพบเหตุที่สองคือสภาพที่เรียกว่า “โอเวอร์เทรนนิ่ง” (Overstraining) คือ อาการโทรมจากการฝึกซ้อมมากเกินไปสภาพนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายตกต่ำ ลงอีกต่างหาก และอาจเกิดอันตรายด้วยหากยังดันทุรังฝึกหนักต่อไป ไว้จะมาแจงรายละเอียดกันเมื่อมีโอกาสหรืออาจต้องขอความรู้จากนักวิชาการตัว จริงให้มาช่วยวิสัชนากันหน่อย
ผมเล่นจักรยานมานานแล้ว จำเป็นที่จะต้องมาเริ่มโปรแกรมปั่นพื้นฐานของมือใหม่นี้ด้วยหรือเปล่า?
โปรแกรม นี้มีจุดประสงค์ที่จะปูพื้นฐานที่ถูกต้องให้กับผู้ที่รักจะเล่นจักรยาน(ทุก ชนิด)ในแบบที่ถูกต้อง ก็ลองถามตัวคุณเองดูนะคะว่าคุณได้เริ่มต้นเล่นจักรยานมาอย่างถูกต้องหรือ เปล่า? โดยการดูว่า 1) ร่างกายของคุณปรับตัวเข้ากับจักรยานได้ดีหรือไม่? 2) ในการขี่จักรยานโดยปรกติคุณใช้รอบขาสูง 80-90 รตน.หรือไม่? 3) คุณใช้เกียร์ได้คล่องและถูกต้องหรือไม่? ถ้าคุณตอบ “ไม่ ” ตั้งแต่หนึ่งข้อขึ้นไปแล้วคุณอยากจะเล่นจักรยานให้ได้ดีไม่มีการบาดเจ็บจาก การออกกำลัง ก็คิดว่าคุ้มค่าที่คุณจะมาเริ่มฝึกใหม่ตามโปรแกรม
ขณะฝึกตาม โปรแกรม จะหยุดพักได้บ่อยแค่ไหน? หยุดพักได้เมื่อคุณขี่ได้ครึ่งหนึ่งของเวลาที่คุณตั้งใจจะขี่ค่ะ อย่างเช่นถ้าคุณอยู่ในช่วงแรกของบทเรียนที่หนึ่ง คุณก็จะหยุดพักได้เมื่อขี่ไปแล้ว 15 นาที แต่ในขณะที่ปั่นอยู่ใน15นาทีนั้น อย่าหยุดปั่นขาบ่อยหรือไม่ควรหยุดปั่นขาเลย (ยกเว้นในจุดที่ต้องชะลอความเร็ว เช่น ตามทางแยก หรือ ต้องเหล่หนุ่ม-เหล่สาว ฯลฯ) เพราะการซอยขาตลอดเวลาจะทำให้กล้ามเนื้อขาของเรา “จำ” การซอยขาที่ 80 รตน.นี้ได้เร็วขึ้น และทำให้ระบบการหายใจ, การเผาผลาญอาหาร ฯลฯ ของร่างกายทำงานได้คงที่ด้วยซึ่งจะเป็นผลดีต่อร่างกายของเราเองค่ะ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ ดังนั้น จงหยุดพักได้บ่อยเท่าที่คุณอยากจะพักนั่นแหละค่ะ ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าตัวคุณเองหรอก
ที่มา http://thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=60&t=342295
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
[DIY] ยึดไฟกับเบาะ และขายึดไฟหน้า+ไมล์ติดคอรถพับ
|
| |||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)